สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 8 - 14 พฤษภาคม 2563
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน (บาท/ตัน) (ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14 ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16 ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30 ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25 ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16 กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์ (ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,838 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,771 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,458 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,599 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.46
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 33,950 บาท ราคาลดลงจากตันละ 35,183 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.50
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,625 บาท ราคาลดลงจากตันละ 16,016 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.68
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่ ) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,181 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,473 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,362 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.36 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 889 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,881 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 539 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,327 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 7.60 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 1,446 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,435 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 518 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,652 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.56 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 1,217 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 526 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,774 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 536 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,231 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.86 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 457 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.8899
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ปรับลดคาดการณ์การผลิตข้าวเปลือกในปี 2563 ของเวียดนามเป็น 43.8 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 3.3 จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับการเก็บเกี่ยวลดลงร้อยละ 0.9 เนื่องจากภัยแล้งและน้ำเค็ม
USDA เปิดเผยว่า การผลิตในปี 2564 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เป็น 44 ล้านตันต่อปี เนื่องจากการขยายพื้นที่เก็บเกี่ยวเป็น 7.56 ล้านเฮกตาร์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67) แม้จะมีการปรับลดการเพาะปลูกในปี 2563 แต่การผลิตข้าวเปลือกฤดูหนาว/ฤดูใบไม้ผลิ ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่ระดับ 11 ล้านตัน เนื่องจาก USDA มีการปรับเปลี่ยนปฏิทินการเพาะปลูก ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกประมาณ 30,000 เฮกตาร์ ในจังหวัดชายฝั่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และในปีนี้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการบุกรุกของน้ำเค็มและตะกอนที่ไม่เพียงพอในการเสริมโภชนาการของดิน เนื่องจากน้ำจืดลดลง โดย USDA กล่าวว่าปริมาณน้ำฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนั้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการจัดหาน้ำไม่เพียงพอในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ตาม การผลิตข้าวเปลือกในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูร้อน / ฤดูใบไม้ร่วง ปี 2563 คาดว่าจะมีปริมาณ 13.6 ล้านตัน ซึ่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน
สำหรับการบริโภค USDA คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 21.4 ล้านตันต่อปี เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลต่อการบริโภคของประชากรในเมืองลดลง ส่วนราคาในประเทศเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่อยู่ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาว/ฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และจีน มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเก็บเกี่ยวล่าช้าเพราะสภาพอากาศหนาวเย็น สำหรับการส่งออกในปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ 6.7 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.98) ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม ได้อุทธรณ์คำสั่งห้ามการลงทะเบียนสัญญาส่งออกใหม่ ซึ่งดำเนินการเมื่อวันที่ 24 มีนาคม โดยนายกรัฐมนตรี และคาดว่าสถานการณ์นี้จะมีผลจนถึงเดือนพฤษภาคมตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าว และคาดว่าความต้องการข้าวเวียดนามจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากตามรายงานของ USDA ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวของทั้งกัมพูชาและไทยจะลดลง ประกอบกับราคาข้าวเวียดนามต่ำกว่าอินเดีย ที่มีการระบาดของเชื้อ COVID-19 และการระบาดของตั๊กแตนในแอฟริกาตะวันออก สำหรับสต็อกข้าวปลายปี 2563 คาดว่าจะลดลงเหลือ 677,000 ล้านตัน (ลดลงร้อยละ 25.40)
ที่มา : mekongoryza.com
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าในปีการตลาด 2563/64 (มกราคม 2564-ธันวาคม 2564) เมียนมาจะมีผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 20.46 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ที่คาดว่าจะมีประมาณ 19.84 ล้านตัน เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ในขณะที่การเพาะปลูกข้าวในปัจจุบันมีการใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้น เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี รวมทั้งมีการนำหลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีหรือ Good Agricultural Practices (GAP) มาปรับใช้ ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2563/64 พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวจะมีประมาณ 43.75 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจาก 43.125 ล้านไร่
ในปี 2562/63 ด้านความต้องการบริโภคข้าว ในปี 2563/64 คาดว่าจะมีประมาณ 10.2 ล้านตัน เท่ากับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกคาดว่า ในปี 2563/64 จะมีประมาณ 2.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ที่คาดว่าจะส่งออกประมาณ 2.3 ล้านตัน เนื่องจากคาดว่าความต้องการข้าวจากตลาดจีนจะมีมากขึ้น เช่นเดียวกันตลาดสหภาพยุโรป และแอฟริกา รวมทั้งประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหลังจากที่การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลายลง คาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์การส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนผ่านทางแนวชายแดนทางภาคเหนือของประเทศนั้น นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 การส่งข้าวผ่านชายแดนมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากรัฐบาลจีนมีมาตรการเข้มงวดการนำเข้าสินค้าเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทั้งนี้ จากข้อมูลของทางการเมียนมานับตั้งแต่ปีการตลาด 2561/62 การส่งออกข้าวผ่านชายแดนมีปริมาณลดลงจากเมื่อก่อน หลังจากที่ทางการจีนมีนโยบายเข้มงวดการลักลอบนำเข้าสินค้าตามแนวชายแดน โดยในปี 2562 การส่งออกข้าวหักไปยังประเทศจีน (ตัวเลขไม่เป็นทางการ) มีปริมาณลดลงประมาณร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปี 2561 เนื่องจากทางการจีนมีนโยบายจำกัดใบอนุญาตนำเข้าข้าวหักทางแนวชายแดน ซึ่งตรงกันข้ามกับการส่งออกข้าวหักไปยังตลาดอื่นๆ เช่น เบลเยี่ยม อินโดนีเซีย กินี เซเนกัล และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 80
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
สำนักงานส่งเสริมการค้า (สคต.) ณ นครเฉิงตู รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการเตือนภัยตลาด สำนักงานชนบท กระทรวงการเกษตรของจีน ได้จัดทำรายงานการคาดการณ์การพัฒนาด้าน การเกษตรของจีนระหว่างปี 2563-2572 โดยได้วิเคราะห์และทบทวนสถานการณ์การผลิต การบริโภค ราคา และ การค้าสินค้าเกษตรหลักของจีนในปี 2562 พร้อมคาดการณ์แนวโน้มอุปทานและอุปสงค์ของตลาดสินค้าเกษตรหลัก ของจีนในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย ซึ่งในส่วนของสินค้าข้าวมีรายละเอียดสรุปได้ว่า โครงสร้างการผลิตข้าวของจีนจะมีการปรับตัวดีขึ้น โดยในปี 2566 พื้นที่เพาะปลูกข้าวจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยจึงคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณการผลิตข้าวจะมีเสถียรภาพอยู่ในระดับมากกว่า 200 ล้านตันต่อปี หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อปี หลังจากจำนวนประชากรจีนเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณความต้องการข้าวเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการโดยรวมยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2572 ปริมาณการบริโภคข้าวของจีนจะสูงถึง 156.05 ล้านตัน ปริมาณการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศจะสูงถึง 4.45 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณการส่งออกข้าวของจีนจะลดลงเหลือเพียง 1.5 ล้านตัน
สำหรับข้าวสาลี คาดว่าในปี 2572 ปริมาณการผลิตข้าวสาลีจะสูงถึง 135 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.13 ต่อปี หลังจากจำนวนประชากรเพิ่มสูงขึ้น และอุตสาหกรรมอาหารได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็คาดว่าในปี 2572 ปริมาณการบริโภคข้าวสาลีของจีนจะสูงถึง 140 ล้านตัน และปริมาณการนำเข้าข้าวสาลี จากเดิม 3.90 ล้านตัน ในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.83 ล้านตันในปี 2572 ส่วนข้าวโพดนั้น ในอีก 10 ปีข้างหน้า พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดจะเพิ่มขึ้น 23 ล้านหมู่ (หรือเท่ากับ 9.58 ล้านไร่) เมื่อเทคโนโลยีด้านการเกษตรและอุปกรณ์พื้นฐานได้มีการพัฒนาและยกระดับขึ้น และคาดว่าในปี 2572 ปริมาณการผลิตข้าวโพดของจีนจะสูงถึง 338 ล้านตัน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ต่อปี หลังจากขนาดอุตสาหกรรมปศุสัตว์ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมแปรรูปข้าวโพดมีศักยภาพสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการบริโภคข้าวโพดของจีนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และปริมาณการบริโภคข้าวโพดของจีน ในปี 2572 ก็น่าจะสูงถึง 327 ล้านตัน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าข้าวโพดของจีน คาดว่าจะอยู่ที่ 6.48 ล้านตัน ซึ่งยังคงอยู่ในขอบเขตของโควตานำเข้าข้าวโพด
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร