สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 15 - 21 พฤษภาคม 2563
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565 (3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน (บาท/ตัน) (ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14 ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16 ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30 ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25 ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16 กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์ (ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,885 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,838 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.32
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,300 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,458 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.68
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 33,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,350 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,625 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.88
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่ ) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,104 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35,000 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,081 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,473 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.12 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 527 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 501 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,883 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,881 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.60 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 2 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,439 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,435 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 4 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 514 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,295 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 526 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,774 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.28 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 479 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.7031
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนพฤษภาคม 2563 มีผลผลิต 501.956 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 493.790 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.65
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2563/64 ณ เดือนพฤษภาคม 2563 มีปริมาณผลผลิต 501.956 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.65 การใช้ในประเทศ 498.123 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.62 การส่งออก/นำเข้า 45.210 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 5.44 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 184.181 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 2.13
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน อินเดีย ปารากวัย แอฟริกาใต้ ไทย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา และปากีสถาน
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา กินี อิหร่าน เคนย่า มาเลเซีย เม็กซิโก โมแซมบิค ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน และเนปาล
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
รัฐบาลกัมพูชาได้อนุญาตให้เริ่มส่งออกข้าวขาวและข้าวเปลือกได้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป หลังจากที่ได้ออกประกาศห้ามส่งออกข้าวขาวและข้าวเปลือกเป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2563 ตามนโยบายความมั่นคงทางอาหารของประเทศเพื่อเก็บรักษาอาหารที่จำเป็นให้มีบริโภคอย่างเพียงพอภายในประเทศ ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายในประเทศเริ่มดีขึ้นและข้าวสารที่มีสำรองไว้ภายในประเทศยังคงมีเหลือเพียงพอ ประกอบกับในช่วงนี้หลายประเทศต้องการนำเข้าข้าวสารและอาหารอื่นๆ จำนวนมากเพื่อสำรองให้ประชาชนในประเทศตนมีอาหารเพียงพอในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จึงทำให้รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกมาตรการฯ ดังกล่าว เพื่อใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวไปยังตลาดต่างๆ ที่ต้องการได้มากขึ้น
นาย Song Saran ประธานสมาพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodia Rice Federation; CRF) กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกข้าว ได้ช่วยกระตุ้นให้กัมพูชาสามารถส่งออกข้าวได้ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ข้าวหลายชนิดกำลังเป็นที่ต้องการของหลายประเทศ และจะส่งผลให้เกษตรกรและโรงสีข้าวมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามไปด้วย ประกอบกับจากการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ประกาศว่าต้องการนำเข้าข้าว 300,000 ตัน ก่อนช่วงไตรมาสที่ 3 ทำให้สมาพันธ์ข้าวกัมพูชายื่นหนังสือต่อรัฐบาลกัมพูชาให้อนุญาตส่งออกข้าวขาวได้เช่นเดิม เพื่อให้ผู้ประกอบการส่งออกข้าวกัมพูชาสามารถส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ได้
ทั้งนี้ นาย Song Saran กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลอนุญาตให้ส่งออกข้าวได้ ทางสหพันธ์ข้าวกัมพูชาจะรีบดำเนินการติดต่อฟิลิปปินส์เพื่อเจรจาส่งออกข้าวต่อไป โดยสหพันธ์ข้าวกัมพูชาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่กัมพูชาจะสามารถส่งออกข้าวไปยังตลาดฟิลิปปินส์ได้ในไม่ช้า เนื่องจากกัมพูชาและฟิลิปปินส์ได้เคยลงนามในสัญญาการค้าข้าวระหว่างกันตั้งแต่ปี 2556
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (the Ministry of Economic and Finance (MEF) แจ้งให้สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodia Rice Federation; CRF) ทราบว่า รัฐบาลจะอนุญาตให้เริ่มส่งออกข้าวขาวได้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป โดยสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) จะต้องแจ้งให้สมาชิกของสหพันธ์ข้าวกัมพูชาทราบ โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวขาว
ก่อนหน้านี้ สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) ได้ร้องขอให้รัฐบาลอนุญาตให้ส่งออกข้าวขาวได้อีกครั้ง เพื่อช่วยให้ โรงสีข้าวสามารถระบายสต็อกข้าวเก่าที่เก็บไว้ออกไป เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและเตรียมพื้นที่ไว้รองรับการซื้อข้าวเปลือกฤดูใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้
สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) รายงานราคาส่งออกข้าวประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 โดยข้าวหอม Jasmine (Malys Angkor) ชนิด 5% ราคา 945 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (เพิ่มขึ้นจากราคาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ที่ 930 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) ข้าวหอม Fragrant Rice (Sen Kra Ob - SKO) ชนิด 5% ราคา 835 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (เพิ่มขึ้นจากราคาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ที่ 825 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) ข้าวขาว (White Rice Premium / Soft cooking) ชนิด 5% ราคา 550 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคา 590 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (ลดลงจากราคาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) ข้าวนึ่งอินทรีย์ (Organic Parboiled Rice) ชนิด 5% ราคา 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (ลดลงจากราคาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) ข้าวหอมอินทรีย์ (Organic Jasmine - Malys Angkor) ชนิด 5% ราคา 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน (เท่ากับราคาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ที่ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) และข้าวกล้องหอมอินทรีย์ (Organic Brown Jasmine – Premium quality) ราคา 1,370 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
สำนักข่าว Antara รายงานว่า หน่วยงาน BULOG ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านโลจิสติกส์ของอินโดนีเซีย คาดว่าจะมีสต็อกข้าวมากถึง 1.8 ล้านตัน ในเดือนมิถุนายน 2563 จากปัจจุบันที่สต็อกข้าวของรัฐบาลมีอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านตัน โดยหน่วยงาน BULOG ตั้งเป้าหมายจัดหาข้าวเปลือกจากเกษตรกรในประเทศประมาณ 650,000 ตัน ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้
ทั้งนี้ หน่วยงาน BULOG ได้ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อข้าวในประเทศไว้ที่ 950,000 ตัน สำหรับเก็บสำรองในคลังเก็บข้าวของรัฐบาลในปี 2563 โดยคาดหมายว่าภายในเดือนมิถุนายนปีนี้จะสามารถจัดหาได้ประมาณร้อยละ 61 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 หน่วยงาน BULOG ได้จัดหาข้าวแล้วประมาณ 290,000 ตัน
นอกจากนี้ สำนักข่าว Reuters รายงานว่าหน่วยงาน BULOG ได้เพิ่มปริมาณข้าวที่ระบายออกสู่ตลาดเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในประเทศท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
ผู้อำนวยการของ BULOG กล่าวว่าราคาข้าวยังคงอยู่ในระดับสูงแม้จะมีอุปทานข้าวเพิ่มขึ้นจากการเก็บเกี่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 หน่วยงาน BULOG ได้จำหน่ายข้าวแล้วประมาณ 596,305 ตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 225,685 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ขณะที่ทางการระบุว่า ราคาข้าวที่สูงขึ้นเป็นไปตามความต้องการที่สูงขึ้นของโครงการช่วยเหลือทางสังคมของรัฐบาลท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และการจำกัดการเดินทางติดต่อระหว่างกันตามของมาตรการที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
จากข้อมูลของรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้ ราคาขายปลีกข้าวเฉลี่ย (the average retail price) อยู่ที่ 12,050 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 810 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) เพิ่มขึ้นจาก 11,800 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 793 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) เมื่อช่วงต้นปี 2563 และเพิ่มขึ้นจากในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ซึ่งราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 11,700 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 786 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน)
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดราคาขายปลีกสูงสุดสำหรับข้าวคุณภาพปานกลาง (maximum retail price for medium-grade) อยู่ระหว่าง 9,450-10,250 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 635-688 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน) ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร