สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 5 - 11 มิถุนายน 2563
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน (บาท/ตัน) (ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14 ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16 ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30 ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25 ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์ (ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,895 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,938 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.29
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,099 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,113 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.16
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 33,690 บาท ราคาลดลงจากตันละ 33,850 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,575 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.57
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,113 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,557 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,097 ดอลลาร์สหรัฐฯ (34,485 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.45 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 72 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 529 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,425 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,875 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.75 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 550 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 506 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,710 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 491 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,435 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.05 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 275 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 535 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,611 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,598 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.32 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 13 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0484
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่าเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2563 กรมการค้าต่างประเทศได้ยื่นหนังสือเข้าร่วมประมูลข้าว 25% แบบรัฐต่อรัฐ (G-to-G) ต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการจัดขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี รวมปริมาณ 3 แสนตัน ทั้งนี้ เบื้องต้นฟิลิปปินส์กำหนดหลักเกณฑ์ให้เสนอราคารวมค่าขนส่ง (CIF) เฉลี่ยไม่เกิน 490 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และกำหนดให้ผู้ชนะการประมูลต้องส่งมอบภายในวันที่ 22 มิถุนายน 2563
“ส่วนแผนการผลักดันการส่งออกข้าวไทย กรมยังคงต้องเดินหน้าต่อไป ทั้งจีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง เพื่อผลักดันการส่งออกให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งปี 2563 ปริมาณ 7.5 ล้านตัน และจะไม่กำหนดปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ดีขึ้น”
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ประเมินเบื้องต้นว่าโอกาสที่ไทยจะชนะการประมูลครั้งนี้มีน้อยมาก เพราะราคาส่งออกข้าวขาว 25% ล่วงหน้า (FOB) ของไทยตันละ 470 ดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมค่าจัดการอีกตันละ 60 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ข้าวไทยราคาตันละ 530 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าราคาเกณฑ์กลางที่ฟิลิปปินส์ตั้งไว้ที่ตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับราคาข้าวเวียดนามตันละ 450 ดอลลาร์สหรัฐ“เป็นที่น่าสังเกตว่าการประมูลครั้งนี้ ฟิลิปปินส์เชิญทั้งอินเดียและเมียนมา จากเดิมมีเพียงเวียดนามและไทย ซึ่งปัจจุบันอินเดียมีสต็อกข้าวส่วนเกินถึง 20 ล้านตัน และราคาข้าวขาว 25% ของอินเดีย ตันละ 360 ดอลลาร์สหรัฐ หากรวมค่าบริหารจัดการด้วย ราคาก็ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของฟิลิปปินส์ และยังถูกกว่าไทยถึงตันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ โอกาสที่อินเดียจะชนะการประมูลมีสูงมาก หรือแม้แต่เมียนมาก็มีโอกาสชนะประมูลอย่างน้อย 50,000 ตัน”
อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมประมูลจะเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่หากไทยไม่สามารถชนะประมูล ทางเอกชนยังสามารถส่งออกโดยใช้กรอบความตกลงอาฟต้า อัตราภาษีร้อยละ 35 ส่วนประเทศนอกอาเซียน อัตราภาษีร้อยละ 50
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ปรับแผนการเจรจาขายข้าวไทย โดยจะใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ และระบบ Zoom ในการพบปะเจรจากับผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากต่างประเทศ เพราะหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปพบปะกันทำได้ยากขึ้น จากการที่บางประเทศยังมีมาตรการล็อกดาวน์ และบางประเทศยังห้ามบินเข้าประเทศ จึงต้องหันไปใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
“กรมฯ มีแผนที่จะร่วมมือกับผู้ส่งออก จัดพบปะทางออนไลน์กับผู้ซื้อผู้นำเข้าในประเทศเป้าหมาย เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบ สอบถามสถานการณ์การค้า การบริโภคข้าวหากต้องการซื้อข้าวเพิ่มเติม ไทยมีข้าวพร้อมส่งออกที่ไม่จำกัดปริมาณการส่งออก และข้าวไทยเป็นข้าวคุณภาพดี เชื่อมั่นได้” ขณะที่มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ยังรอดูสถานการณ์ก่อนนำเข้า หากมีความต้องการซื้อ ไทยจะสามารถขายได้ได้แน่นอน ส่วนจีน กำลังเจรจาผลักดันให้จีนปิดการซื้อขายข้าวในส่วนที่เหลืออีก 300,000 ตัน ของสัญญาทั้งหมด 1 ล้านตัน เพราะขณะนี้รถไฟไทย-จีน สัญญา 2.3 มีความคืบหน้า
สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ คาดว่า ความต้องการในตลาดโลกจะยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่ต้องระวังเรื่องการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งเวียดนามได้ยกเลิกห้ามส่งออกข้าวแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ได้ชะลอการส่งออกเพื่อให้มีข้าวบริโภคในประเทศอย่างเพียงพอรองรับการระบาดของโควิด-19 และปีนี้ยังตั้งเป้าส่งออกประมาณ 7 ล้านตัน ใกล้เคียงกับไทยที่ตั้งเป้า 7.5 ล้านตัน ส่วนอินเดียเพิ่งปลดล็อกให้มีการส่งออกได้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญในตลาดข้าวของไทย
ที่มา : matichonelibrary.com , ประชาชาติธุรกิจ , ไทยรัฐ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นสูงสุดในรอบมากกว่า 8 ปี เนื่องจากผู้ค้าข้าวต่างเร่งจัดหาข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาวะฝนที่ตกหนักทำให้การเก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงหยุดชะงักลง โดยข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 475 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น จากตันละ 450-460 ดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 วงการค้าระบุว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจัดหาข้าวให้เพียงพอตามสัญญาที่ทำไว้กับผู้ซื้อจากมาเลเซีย และคิวบา ประกอบกับฝนที่ตกหนักได้ทำให้การเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูการผลิตฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วงในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงล่าช้ากว่ากำหนดทางด้าน The Oceanic Agency and Shipping Service รายงานว่า ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม - 15 มิถุนายนนี้ มีเรือประมาณ 18 ลำ เข้ามารอรับมอบข้าวที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City Port เพื่อขนถ่ายสินค้าข้าวประมาณ 261,850 ตัน
ด้านกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) รายงานว่า ในเดือนเมษายน 2563 เวียดนามส่งออกข้าวจำนวน 508,527 ตัน ลดลงประมาณร้อยละ 22.39 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2563 ที่ส่งออกจำนวน 655,260 ตัน และลดลงประมาณร้อยละ 31.38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกจำนวน 741,044 ตัน
โดยในเดือนเมษายน 2563 ชนิดข้าวที่เวียดนามส่งออก ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 163,150 ตัน
ข้าวขาว 15% จำนวน 2,800 ตัน ข้าวขาว 25% จำนวน 16,520 ตัน ปลายข้าวขาวจำนวน 14,845 ตัน ข้าวเหนียวจำนวน 126,963 ตัน ข้าวหอมจำนวน 173,450 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 10,799 ตัน โดยส่งไปยังตลาดในภูมิภาคต่างๆ ประกอบด้วย
1. ตลาดเอเชียจำนวน 435,037 ตัน ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 133,996 ตัน ข้าวขาว 15% จำนวน 2,800 ตัน ข้าวขาว 25% จำนวน 16,520 ตัน ปลายข้าวขาวจำนวน 10,602 ตัน ข้าวเหนียวจำนวน 125,248 ตันข้าวหอมจำนวน 137,507 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 8,364 ตัน
2. ตลาดแอฟริกาจำนวน 50,170 ตัน ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 18,925 ตัน ปลายข้าวขาวจำนวน 3,385 ตัน ข้าวหอมจำนวน 27,734 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 125 ตัน
3. ตลาดยุโรปจำนวน 1,192 ตัน ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 25 ตัน ข้าวเหนียวจำนวน 152 ตัน ข้าวหอมจำนวน 1,014 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 1 ตัน
4. ตลาดอเมริกาจำนวน 565 ตัน ประกอบด้วย ข้าวเหนียวจำนวน 60 ตัน ข้าวหอมจำนวน 341 ตัน และ ข้าวอื่นๆ จำนวน 163 ตัน
5. ตลาดโอเชียเนียจำนวน 5,868 ตัน ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% จำนวน 1,204 ตัน ปลายข้าวขาวจำนวน 858 ตัน ข้าวเหนียวจำนวน 165 ตัน ข้าวหอมจำนวน 1,777 ตัน และข้าวอื่นๆ จำนวน 1,864 ตัน และตลาดอื่นๆ ประมาณ 15,697 ตัน
มีรายงานว่า สมัชชาแห่งชาติของเวียดนามได้เห็นชอบการให้สัตยาบันในข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรป (EVFTA) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2563 ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว จะนำไปสู่การลดภาษีสินค้าประมาณร้อยละ 99 เมื่อซื้อขายสินค้าระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรป โดยคาดการณ์ว่าข้อตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2562 เวียดนามและสหภาพยุโรปได้ร่วมลงนามข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม หรือ EVFTA และข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนเวียดนาม-สหภาพยุโรป หรือ EVIPA ณ กรุงฮานอย
ในโอกาสดังกล่าว นายกรัฐมนตรี Nguyen Xuan Phuc พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของเวียดนาม ในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเศรษฐกิจโลก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันลดลง
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร