สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 29, 2021 13:48 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22 - 28 มีนาคม 2564

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่

(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร

ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

3)โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,810 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,854 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.37

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,436 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,239 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.13

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 25,550 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,790 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.08

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 836 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,713 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 843 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,724 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 11 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 522 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,055 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 526 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,051 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.76 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 4 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 522 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,055 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 526 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,051 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.76 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 4 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.7566 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย

องค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำข้อตกลงซื้อขายข้าวพื้นนุ่มกับชาวนา เพื่อทำข้าวถุงแบรนด์ ?ข้าว อคส.? ล็อตแรกที่จะรับซื้อประมาณ 20 ตัน คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยว่า อคส. ซื้อขายข้าวกับชาวนาครั้งนี้เฉพาะข้าวพื้นนุ่ม เพื่อทำตลาดข้าวถุงภายใต้แบรนด์ ?ข้าว อคส.? ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายได้ในไตรมาส 2 ของปี 2564 นี้ ซึ่งจะจัดทำข้าวถุงขนาด 2 กิโลกรัม และ 5 กิโลกรัม โดยเป้าหมายในการจำหน่ายทั้งร้านธงฟ้า ห้างโมเดิร์นเทรด

ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำข้าวพื้นนุ่มในการจำหน่าย ข้าว อคส. ครั้งนี้จากเดิมที่จำหน่ายข้าวถุงหอมมะลิ เชื่อว่าจะสร้างรายได้ในการขายข้าวถุงของ อคส. เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มียอดรายได้อยู่ที่ 300-400 ล้านบาท ดังนั้น หลังจากนี้ อคส. จะทำการสำรวจปริมาณผลผลิตข้าวที่จะออก เพื่อวางแผนการผลิตและการทำตลาดเพื่อไม่มีปัญหา พร้อมกันนี้ เป้าหมายในการซื้อข้าวในลอตแรกอยู่ที่ 10-20 ตัน ส่วนราคาในการรับซื้อนั้นยังไม่สามารถบอกได้ แต่จะรับซื้ออย่างเป็นธรรมเพื่อประโยชน์ของชาวนา และรับซื้อในราคาตลาด โดยต้องรอให้ปริมาณผลผลิตออกมาก่อนถึงจะคาดการณ์ราคาซื้อขายได้ ส่วนราคาจำหน่ายนั้นจะประเมินจากราคาข้าวถุงในตลาด ซึ่งราคาจะต่ำกว่าราคาข้าวหอมมะลิอย่างแน่นอนแต่จะสูงกว่าข้าวขาว ?ราคาข้าวถุงในตลาดที่มีการจำหน่ายในตอนนี้ เช่น ราคาข้าวหอมมะลิ 5 ก.ก. อยู่ที่ประมาณ250 บาท ข้าวหอมมะลิ 2 ก.ก. อยู่ที่ 110 บาท เป็นต้น ซึ่งก็จะนำมาพิจารณาเพื่อตั้งราคาจำหน่ายต่อไป?

นอกจากนี้ อคส. จะซื้อข้าวเพื่อทำข้าวถุงขายในประเทศแล้ว ยังมีเป้าหมายที่จะทำข้าวเพื่อการส่งออกอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่ม โดยตลาดที่มีการหารือทั้งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ คือ มาเลเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะทำตลาดอย่างไร จะจำหน่ายในรูปแบบข้าวถุงได้หรือไม่ ต้องขอเวลาในการดูเรื่องนี้ก่อนส่วนตลาดอื่นๆ เช่น จีน ฮ่องกง ยังมองตลาดอยู่

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาคมมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวนุ่มให้กับชาวนา รวมถึงพันธุ์ข้าว กข 85 ด้วย ซึ่งเริ่มทำการปลูกได้มา 2 ปีแล้ว โดยผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 1 ตัน แต่ทั้งนี้ชาวนาก็ยังเพาะปลูกข้าวหอมปทุมอยู่ เนื่องจากเป็นข้าวที่ติดตลาดไปแล้ว โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวพื้นนุ่มอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง เช่น ชัยนาท กำแพงเพชร สิงห์บุรี อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม สุพรรณบุรี เป็นต้น สำหรับราคาตลาดข้าวพื้นนุ่มอยู่ที่ 9,300-9,700 บาทต่อตันข้าวเปลือก ส่วนข้าวพื้นแข็งราคาตลาดอยู่ที่ 8,500-8,700 บาทต่อตันข้าวเปลือก ในความชื้นที่ 25% อย่างไรก็ตาม ข้าวทั้ง 3 สายพันธุ์ไม่ได้อยู่โครงการรัฐ โดยเฉพาะโครงการประกันรายได้

แต่ในอนาคตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ข้าวชนิดดังกล่าวได้เข้าร่วมโครงการด้วยอนึ่ง ผู้สื่อข่าว ?ประชาชาติธุรกิจ? รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2564 มีการประชุมคณะกรรมการสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้มีการรายงานสถานการณ์ข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคณะกรรมการและสมาชิกแจ้งว่า สต็อกข้าวที่มีอยู่ในโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสต็อกข้าวของฤดูกาลผลิตปี 2563/64 ลดลงในรอบ10 ปี ทุกคนลดกำลังการผลิตลงถึงร้อยละ 50 และคาดว่าข้าวสำรองที่มีอยู่ในโรงสีหากเร่งสีแปรก็ไม่เกิน 20 วัน ข้าวจะหมดจากสต็อกของโรงสี

แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าปริมาณข้าวมีน้อยมากราคาข้าวกลับไม่ขยับขึ้น ซึ่งจากการวิเคราะห์ของทุกฝ่ายน่าจะมาจากการที่ผู้ส่งออกข้าวต่างประเทศส่งออกล่าช้า เพราะข่าวการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และราคาค่าขนส่งที่สูงขึ้นมากทำให้การรับซื้อข้าวสารของผู้ส่งออกข้าวไปต่างประเทศรับซื้อข้าวจากโรงสีได้ในราคาไม่สูง จึงทำให้โรงสีไม่สามารถซื้อข้าวเปลือกในราคาสูงขึ้นได้?หากไม่เกิดเหตุการณ์ปัญหาการส่งออกตึงตัว ทุกคนยังคาดการณ์กันว่าราคาข้าวเปลือกน่าจะมีราคาที่ 14,000-15,000 บาทต่อตัน แต่ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกที่โรงสีสามารถรับซื้อได้เพียง 12,500-12,800 บาทต่อตัน เท่านั้น คาดหวังว่าสถานการณ์จะเป็นปกติโดยเร็วซึ่งจะทำให้ราคาข้าวมีโอกาสขยับสูงขึ้นไปถึงราคาประกันรายได้ที่กำหนดไว้ได้

ส่วนข้าวเหนียวรายงานว่า ราคากำลังค่อยๆ ดีขึ้น แต่มีข่าวข้าวเหนียวลักลอบจากเพื่อนบ้านราคาถูกเข้ามา ประกอบกับข้าวเหนียวนาปรังในประเทศกำลังเตรียมเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากยังมีข้าวเหนียวลักลอบจากเพื่อนบ้านเข้ามาจะทำให้ราคาข้าวเหนียวตกต่ำมากกว่าที่ควรจะเป็น ผู้ค้าข้าวสารในตลาดการค้าข้าวเหนียวมีความกังวลว่าราคาจะต่ำลง ซึ่งจะเกิดการชะลอการรับซื้อข้าวสารจากโรงสี

รายงานข่าว ระบุว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดการประชุมหารือร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเรื่อง ?ทิศทางตลาดข้าวไทย ปี 64? ในวันที่ 24 มีนาคม 2564

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อินโดนีเซีย: การนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียกลับมาเป็นที่สนใจ เนื่องจากรัฐบาลอินโดนีเซียมีแผนที่จะนำเข้าถึง 1.5 ล้านตัน

สมาคมชาวนาอินโดนีเซียคัดค้านแผนการนำเข้าข้าวของรัฐบาลอินโดนีเซียจำนวน 1 ? 1.5 ล้านตัน ในปีนี้โดยประเทศใกล้จะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวและเกษตรกรต้องเผชิญหน้ากับราคาตกต่ำ Henry Saragih ประธานสหภาพชาวนาอินโดนีเซีย (SPI) กล่าวว่า ราคาเฉลี่ยข้าวที่ Tuban จังหวัดชวาตะวันออกที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตของประเทศ อยู่ที่กิโลกรัมละ 3,700 รูเปียห์ (26 เซนต์) ต่ำกว่าราคาจัดซื้อของรัฐบาล (HPP) กิโลกรัมละ 4,200 รูเปียห์ตอนนี้ภูมิภาคต่างๆ ในประเทศกำลังเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาจะต้องเผชิญหน้ากับราคาข้าวตกต่ำ ฤดูเก็บเกี่ยวอยู่ในช่วงต้นเดือนเมษายน ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักสถิติอินโดนีเซีย (BPS) ราคาเฉลี่ยข้าวเปลือกเดือนกุมภาพันธ์กิโลกรัมละ 4,758 รูเปียห์ ลดลงร้อยละ 8.08 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนราคาค่อนข้างต่ำแต่ยังคงสูงกว่า HPP การนำเข้าข้าวทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและสมาคมชาวนา โดยการนำเข้าข้าวเพื่อสำรองสำหรับคนยากจน ทำให้ราคาข้าวและการขาดแคลนข้าวลดลง แต่ก็ทำให้ชาวนาที่มีรายได้ต่ำไม่สามารถจำหน่ายข้าวในราคาที่สูงข้อมูลจาก BPS แผนการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าของปี 2562 จำนวน 444,508 ตัน อย่างไรก็ตามจากรายงานโครงการอาหารโลก (WFP) เดือนพฤษภาคม 2562 อ้างอิงข้อมูลปี 2561 อินโดนีเซียจัดหาข้าวส่วนใหญ่จากผลผลิตในประเทศ โดยอัตราส่วนการนำเข้าข้าวเพียงร้อยละ 6.2

แผนการนำเข้าข้าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่สินค้าข้าวคงคลัง และสนับสนุนโครงการช่วยเหลือสังคมของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าอินโดนีเซียกล่าวในระหว่างการประชุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ว่ารัฐบาลสั่งการให้หน่วยงานโลจิสติกส์ของรัฐ (Bulog) ทำการนำเข้าข้าวและถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องดูแลคลังข้าว และระยะเวลาการจำหน่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยจะประสานงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างไรก็ดี Coalition for Food Sovereignty (KRKP) และ National Farmer Movement (GPN) แสดงการสนับสนุนจุดยืนของสหภาพชาวนาอินโดนีเซีย เรียกร้องให้รัฐบาลเสริมสร้างอำนาจการสั่งซื้อของ Bulog เพื่อจัดหาข้าวจากชาวนาในประเทศแทนที่การนำเข้าข้าว เพื่อสร้างข้าวคงคลังของประเทศ โดยทั้ง 2 องค์กร กล่าวว่า ข้อสังเกตจากการเพาะปลูกข้าว บนเกาะชวาเป็นไปด้วยดี ผลผลิตจากฤดูเก็บเกี่ยวเดือนเมษายน ? พฤษภาคมน่าจะเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

ข้อมูลจาก BPS ศูนย์กลางการผลิตข้าวส่วนใหญ่อยู่บนเกาะชวา เมื่อปีที่ผ่านมา จังหวัดชวาตะวันออกผลิตข้าวได้ 9.94 ล้านตัน รองลงมา ได้แก่ ชวากลาง ชวาตะวันตก สุราเวสีใต้ และสุมาตราใต้ คาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวเปลือกในเดือนมกราคม ? เดือนเมษายน 2564 จำนวน 25.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.88 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลด้านกลยุทธ์ราคาอาหาร (PIHPS) แสดงว่า ราคาข้าวเปลือกยังคงมีความผันผวน ราคาข้าวเฉลี่ยค่อนข้างคงที่อยู่ที่กิโลกรัมละ 11,800 รูเปียห์ โดย Felippa Ann Amanta หัวหน้าฝ่ายวิจัยศูนย์การศึกษานโยบายของอินโดนีเซีย (CIPS) เรียกร้องให้ Bulog รองรับผลผลิตข้าวในประเทศให้ได้มากที่สุด เนื่องจากผลผลิตในปีที่แล้วเพิ่มขึ้น กระทรวงเกษตรประมาณการการบริโภคข้าวในประเทศจะสูงถึง 7.48 ล้านตัน มีส่วนเกินจากปีที่แล้ว 6.75 ล้านตัน คาดว่าอุปทานข้าวจะสูงถึง 15.01 ล้านตัน Sahat Marulitua Pasaribu นักวิจัยกระทรวงเกษตร กล่าวถึงแผนการนำเข้าข้าวคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกันชนและความช่วยเหลือทางสังคม เช่น กรณีเกิดภัยธรรมชาติวิเคราะห์ผลกระทบ โอกาส/แนวทางการปรับตัวของภาครัฐ/ภาคเอกชน/ผู้ประกอบการไทย

รัฐบาลอินโดนีเซีย โดยกระทรวงการค้าวางแผนนำเข้าข้าวจำนวน 1 ? 1.5 ล้านตัน ในปีนี้ โดยสั่งการให้หน่วยงานโลจิสติกส์ของรัฐ (Bulog) ทำการนำเข้าข้าว แผนการดังกล่าวทำให้มีหลายภาคส่วน โดยเฉพาะสหภาพชาวนาอินโดนีเซียออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการนำเข้าข้าวอีกครั้ง เนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว เกรงว่าราคาข้าวในประเทศจะตกต่ำและส่งผลกระทบต่อเกษตรผู้เพาะปลูก ส่วน Coalition for Food Sovereignty (KRKP) และ National Farmer Movement (GPN) แสดงการสนับสนุนจุดยืนของสหภาพชาวนาอินโดนีเซียเรียกร้องให้รัฐบาลเสริมสร้างอำนาจการสั่งซื้อของ Bulog เพื่อจัดหาข้าวจากชาวนา ในประเทศแทนที่การนำเข้าข้าว โดยทั้ง 2 องค์กรกล่าวว่า ข้อสังเกตจากการเพาะปลูกข้าวบนเกาะชวาเป็นไปด้วยดี ผลผลิตจากฤดูเก็บเกี่ยวเดือนเมษายน ? พฤษภาคมน่าจะเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียชี้แจงการนำเข้าข้าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรองข้าวสำหรับกรณีฉุกเฉินต่างๆ เช่น ภัยพิบัติ และโครงการช่วยเหลือทางสังคม เป็นต้น

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำ MOU ว่าด้วยการค้าข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยสาระสำคัญของ MOU ดังกล่าวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจะซื้อขายข้าวปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาข้าวในตลาดโลก โดย MOU ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 4 ปี

ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

บังกลาเทศ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่ออายุร่าง MOU ค้าข้าวไทย-บังกลาเทศ ปีละ 1 ล้านตัน ออกไปอีก 5 ปี ตามที่รัฐบาลบังกลาเทศได้แจ้งความประสงค์กับรัฐบาลไทยขอต่ออายุ MOU ฉบับเดิม (ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 พ.ค.60) ซึ่งหมดอายุไปแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยจัดทำร่าง MOU ฉบับใหม่ นำเข้าข้าวจากไทยสำรองไว้เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวภายในประเทศ โดยมีแผนนำเข้าข้าวจากไทยประมาณ 5 แสนตัน ภายในเดือนกรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564 เนื่องจากบังกลาเทศประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงกลางปี 2563 ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเสียหายจำนวนมาก และกล่าวว่า ?เพื่อเป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลบังกลาเทศพิจารณานำเข้าข้าวจากไทย และเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดบังกลาเทศได้มากขึ้น ครม.จึงมีมติอนุมัติต่ออายุบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอาหารแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ จากเดิมที่หมดอายุไปแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ขยายให้มีผลบังคับใช้นับจากวันลงนามเป็นเวลา 5 ปี จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ?

ทั้งนี้ สาระสำคัญของ MOU ฉบับใหม่เหมือนกับฉบับเดิม โดยมีรายละเอียด คือ ไทยและบังกลาเทศตกลงที่จะซื้อขายข้าวไทยทุกชนิดแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2564 - 2569 ตามความต้องการของบังกลาเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาในตลาดโลก โดยฝ่ายไทยมอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนบังกลาเทศมอบหมายให้กรมอาหาร กระทรวงอาหารเป็นผู้ดำเนินการ

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ