สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday October 25, 2021 15:09 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18 - 24 ตุลาคม 2564

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1) ด้านการผลิต

1.1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

1.2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

1.3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

1.4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

1.5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

1.6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

1.7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

2) ด้านการตลาด

2.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

2.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

2.3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

2.4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

2.5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

2.6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,643 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,680 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.38

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,678 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,605 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,950 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.65

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,190 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 703 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,328 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 138 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 402 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,318 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 404 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,406 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 88 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 402 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,318 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 404 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,406 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 88 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.1288 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 สถานการณ์ข้าวโลก

1) การผลิต

ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2564/65 ณ เดือนตุลาคม 2564ผลผลิต 510.695 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 506.444 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2563/64 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.84

2) การค้าข้าวโลก

บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2564/65 ณ เดือนตุลาคม 2564 มีปริมาณผลผลิต 510.695 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2563/64 ร้อยละ 0.84 การใช้ในประเทศ 512.309 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2563/64 ร้อยละ 1.86 การส่งออก/นำเข้า 48.749 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2563/64 ร้อยละ 0.53 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 183.628 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2563/64 ร้อยละ 0.87

โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล เมียนมา กัมพูชา จีน อียู ปากีสถาน ปารากวัย ไทย ตุรกี อุรุกวัย และเวียดนาม ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา อินเดีย และสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไอเวอรี่โคสต์ อียิปต์ เอธิโอเปีย อียู อิหร่าน อิรัก เคนย่า มาดากัสกา โมแซมบิค เนปาล ไนจีเรีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ บราซิล ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล และแอฟริกาใต้ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา

2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ฟิลิปปินส์

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า ตามรายงาน Grain and Feed ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ฉบับล่าสุด ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ในปีการตลาด 2564/2565 เป็น 2.2 ล้านตัน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะมีปริมาณนำเข้าที่ 2.1 ล้านตัน เนื่องจากคาดว่าสภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้นแม้ว่าจะยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงได้รับปัจจัยหนุนจากการออกใบรับรองนำเข้าสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPSIC) สำหรับการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์(DA) โดยสำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry: BPI) มีการออกใบอนุญาต SPSIC รวม 885 ฉบับ คิดเป็นปริมาณข้าวนำเข้า 642,811 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการออกใบอนุญาต SPSIC เพียง 379 ฉบับ คิดเป็นปริมาณข้าว 273,643 ตัน

ทั้งนี้ ปีการตลาด (Marketing Year) หมายถึงช่วงระยะเวลา 12 เดือนเมื่อเริ่มทำการเก็บเกี่ยวและเมื่อผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาด โดยปีการตลาดในฟิลิปปินส์สำหรับการนำเข้าข้าวจะเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม

สำหรับปี 2563/2564 USDA ได้ปรับลดการคาดการณ์ปริมาณการนำเข้าของฟิลิปปินส์จากเดิม 2.1 ล้านตัน เหลือ 2 ล้านตัน และได้คงตัวเลขการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวของฟิลิปปินส์ ในปี 2564/2565 อยู่ที่ 12.30 ล้านตัน โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564/2565 พบว่า ผลผลิตข้าวมีปริมาณไม่แตกต่างกันมากนักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563/2564

นอกจากนี้ USDA ยังได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนโยบายในการลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไป (MFN) ชั่วคราวสำหรับสินค้าข้าวของรัฐบาลฟิลิปปินส์ว่า จะมีผลต่อซัพพลายเออร์ในซีกโลกตะวันตกน้อยกว่าผู้ส่งออกข้าวนอกอาเซียนรายอื่นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น

ในส่วนของกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (DA) ได้คาดการณ์การนำเข้าข้าวในปีนี้จะมีปริมาณถึง 2.085 ล้านตัน ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มอุปทานข้าวล่าสุด โดยในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าปริมาณนำเข้าจะมีประมาณ 1.296 ล้านตัน แบ่งเป็น 608,000 ตันในไตรมาสแรก และ 688,000 ตันในไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ไตรมาสที่ 3 และ 4 จะมีปริมาณการนำเข้า 631,000 ตัน และ 158,000 ตัน ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นาย William Dar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้เรียกร้องให้หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น (Local Government Units: LGUs) โดยเฉพาะหน่วยงานในจังหวัดชั้นนำที่เป็นแหล่งผลิตข้าวให้ช่วยรัฐบาลกลางรับซื้อข้าวเปลือกโดยตรงจากเกษตรกรชาวนา เพื่อเพิ่มราคาข้าวเปลือกในช่วงฤดูเพาะปลูกหลัก โดยการเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นหลังมีรายงานว่าราคาข้าวเปลือกในบางพื้นที่ของประเทศลดลงต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยจากผลการสำรวจของสหพันธ์เกษตรกรอิสระ (FFF) พบว่า ราคาข้าวเปลือกในบางพื้นที่ เช่น Pangasinan, Tarlac, Mindoro Occidental, Negros Occidental, Zamboanga Sibugay, Davao del Norte และ South Cotabato ลดลงเหลือเพียง 12-15 เปโซต่อกิโลกรัม

ทั้งนี้ นาย Leonardo Montemayor ประธานคณะกรรมการ FFF กล่าวว่า ราคาข้าวเปลือกมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกเมื่อมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลจำกัดการนำเข้าข้าวชั่วคราวในช่วงที่ยังคงมีการเก็บเกี่ยวภายในประเทศ เนื่องจากต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12.41 เปโซต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าต้นทุนการผลิตข้าวในประเทศเวียดนามซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6.22 เปโซต่อกิโลกรัม และประเทศไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8.86 เปโซต่อกิโลกรัม

หลังจากฟิลิปปินส์ได้ประกาศใช้กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวในปี 2562 ได้ส่งผลให้กลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปี 2562 ฟิลิปปินส์มีปริมาณนำเข้าข้าวอยู่ที่ 2.9 ล้านตัน แซงหน้าจีนที่เคยเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวดังกล่าวเพื่อให้สามารถนำเข้าข้าวได้มากขึ้นและเพื่อให้ราคาข้าวในประเทศลดลง นอกจากนี้ แนวโน้มการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 4 เท่า

ทั้งนี้ แนวโน้มการนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวยังช่วยให้รัฐบาลฟิลิปปินส์สามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีนำเข้าข้าวได้เป็นจำนวนมาก และภายใต้กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวกำหนดให้มีการนำเงินภาษีที่จัดเก็บได้ จัดสรรเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวภายในประเทศ (RCEF) ปีละ 1 หมื่นล้านเปโซ เพื่อช่วยเหลือชาวนาในการเพิ่มผลผลิตข้าว รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

โดยในปี 2562 กรมศุลกากรฟิลิปปินส์สามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าวมูลค่าถึง 1.231 หมื่นล้านเปโซ และในปี 2563 สามารถจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.549 หมื่นล้านเปโซ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.83 จากปี 2562 โดยแนวโน้มการจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าวของกรมศุลกากรฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มปริมาณนำเข้าข้าวที่จะเพิ่มสูงขึ้น

ที่มา Oryza.com สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

จีน

สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานว่า ข้าวลูกผสมรุ่นที่ 3 ซึ่งพัฒนาโดยศาสตราจารย์หยวนหลงผิง "บิดาแห่งข้าวลูกผสมของจีน" (Yuan Longping, the "father of hybrid rice") และทีมงาน สามารถทำสถิติปริมาณผลผลิตข้าวครั้งใหม่อยู่ที่ 1,603.9 กิโลกรัมต่อหมู่ (ประมาณ 0.4 ไร่/667 ตารางเมตร) ณ แปลงปลูกในหมู่บ้านชิงจู๋ เมืองเหิงหยาง (Qingzhu Village, Hengyang City) มณฑลหูหนาน (Hunan Province) ทางตอนกลางของจีน หนึ่งในแปลงนาทดลองปลูกข้าวลูกผสม

มณฑลหูหนาน เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของจีน เกษตรกรในมณฑลนี้นิยมปลูกข้าวแบบปลูก 2 รอบ (double-cropping rice) โดยในบรรดาผลผลิตข้าวลูกผสมรุ่นที่ 3 ที่แปลงทดสอบข้าวต้นฤดู (early rice) ให้ผลผลิตประมาณ 667.8 กิโลกรัมต่อหมู่ ส่วนข้าวปลายฤดู (late-season rice) ให้ผลผลิตประมาณ 936.1 กิโลกรัมต่อหมู่ ทำให้ผลผลิตรวมทั้งหมดมีจำนวน 1,603.9 กิโลกรัมต่อหมู่ ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นสถิติใหม่ทำลายสถิติปีที่แล้วที่มีผลผลิตรวม 1,530.76 กิโลกรัม ซึ่งทำให้ข้าวดังกล่าวกลายเป็นข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงที่สุดในโลก

พันธุ์ข้าวดังกล่าว ได้รับการพัฒนาโดยศาสตราจารย์หยวนหลงผิง สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ปีละ 2 ครั้ง (double-cropping rice) ได้แก่ (1) เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม และ (2) เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ซึ่งการวิจัยพบว่า การปลูกข้าวในแปลงนา ปีละ 2 ครั้ง แม้ได้รับผลผลิตต่อครั้งน้อยกว่าการปลูกเพียงปีละ 1 ครั้ง แต่ผลผลิตต่อปีโดยรวมแล้วมีปริมาณมากกว่า

รายงานระบุว่า เมื่อปี 2563 พันธุ์ข้าวลูกผสมดังกล่าวให้ผลผลิตในระบบการปลูกแบบ 2 รอบ รวมประมาณ 1,530.76 กิโลกรัมต่อหมู่ต่อปี ในแปลงเดียวกัน

นายหลี่เสริมว่า ข้าวลูกผสมรุ่นที่ 3 ให้ผลผลิตสูงแม้เผชิญสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยจากอุณหภูมิที่พุ่งสูงต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่าพันธุ์ข้าวดังกล่าวมีการปรับตัวแข็งแกร่ง และปูทางสำหรับการส่งเสริมข้าวสายพันธุ์นี้ต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ศาสตราจารย์หยวนหลงผิงประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงสายพันธุ์แรกของโลกเมื่อปี 2516 ต่อมาข้าวลูกผสมสายพันธุ์นี้ถูกนำไปเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในประเทศจีนและหลายประเทศ ปัจจุบัน จีนได้เพาะปลูกข้าวลูกผสมรวมพื้นที่ทั้งสิ้น 100 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 57 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมด ช่วยให้ประชากรมีข้าวกิน มากกว่า 80 ล้านคนต่อปี หมายเหตุ (หมู่ (mu/?) หน่วยวัดจีน 1 หมู่ เท่ากับ 166.5 ตารางวา หรือ 0.416667 ไร่)

ที่มา China Xinhua News และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ