สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 20, 2021 15:31 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22 - 28 พฤศจิกายน 2564

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,225 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,206 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.20

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,666 บาท ราคาลดลงจากตันละ 7,708 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.54

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,870 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,510 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.13

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 669 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,035 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 664 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,530 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.75 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 505 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,274 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวที่เฉลี่ยตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐ (13,067 บาท/ตัน) เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 207 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 406 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,373 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 403 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,067 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.74 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 306 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.9379 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาส่งออกข้าวปรับลดลงตามสถานการณ์ราคาข้าวของประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย ปากีสถาน เพื่อดึงความสนใจของผู้ซื้อ อย่างไรก็ตามจากการที่ภาวะอุปทานข้าวในตลาดภายในประเทศเริ่มตึงตัว เนื่องจากการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังรอบที่ 2 หรือข้าวในฤดูการผลิตฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว (autumn-winter crop) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาข้าวไม่ให้ลดลงไปมาก โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 425-430 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากตันละ 430-435 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยวงการค้าคาดว่า ราคาข้าวจะปรับตัวลงไม่มากนัก จนกว่าจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูใหม่ หรือฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิต (the winter-spring crop) จะออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงมีนาคมของปีหน้า

กรมศุลกากรเวียดนาม (the Customs Department) รายงานว่า ในเดือนตุลาคม 2564 เวียดนามส่งออกข้าวปริมาณ 618,162 ตัน มูลค่าประมาณ 321.941 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 520.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 70.3 และร้อยละ 67.7 ตามลำดับ แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนตุลาคม 2563 เวียดนาม ส่งออกข้าวปริมาณ 362,930 ตัน มูลค่าประมาณ 192.010 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 529 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 และร้อยละ 9.8 ตามลำดับ รวมทั้งราคาส่งออกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 (เดือนกันยายน 2564 เวียดนาม ส่งออกข้าวปริมาณ 593,624 ตัน มูลค่าประมาณ 293.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 493.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ชนิดข้าวที่เวียดนามส่งออกในเดือนตุลาคม 2564 ประกอบด้วย ข้าวพันธุ์ DT8 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.6 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ข้าวขาว 5% ร้อยละ 17 ข้าวพันธุ์ OM5451 ร้อยละ 13.9 ข้าวหอม Jasmine ร้อยละ 9.2 ข้าวเหนียว ร้อยละ 8.7 ข้าวหอม KDM ร้อยละ 5.4 ข้าวขาว 15% ร้อยละ 3.4 ข้าวพันธุ์ ST21 ร้อยละ 0.8 เป็นต้น โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ปริมาณ 275,386 ตัน มูลค่า 137.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 44.55 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด จีน ปริมาณ 78,959 ตัน มูลค่า 36.165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 12.77 กาน่า ปริมาณ 68,188 ตัน มูลค่า 41.825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 11.03 คิวบา ปริมาณ 42,452 ตัน มูลค่า 23.225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 6.87 ไอวอรี่โคสต์ ปริมาณ 31,400 ตัน มูลค่า 15.027 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 5.08 มาเลเซีย ปริมาณ 18,986 ตัน มูลค่า 8.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 3.07 อินโดนีเซีย ปริมาณ 14,586 ตัน มูลค่า 6.955 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 2.36 ปาปัวนิวกินี ปริมาณ 9,810 ตัน มูลค่า 4.277 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 1.59 โมซัมบิก ปริมาณ 7,063 ตัน มูลค่า 3.848 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 1.14 และสิงคโปร์ ปริมาณ 7,091 ตัน มูลค่า 4.169 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 1.15 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด

โดยในช่วง 10 เดือนของ 2564 (มกราคม-ตุลาคม) มีการส่งออกข้าวปริมาณ 5,183,112 ตัน มูลค่าประมาณ 2,737.195 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณตันละ 528.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 3.14 แต่มูลค่าส่งออกเพิ่มขี้นร้อยละ 3.7 และราคาส่งออกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดส่งออกที่สำคัญในช่วง 10 เดือนของปี (มกราคม-ตุลาคม 2564) ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งส่งออกประมาณ 2,093,859 ตัน มูลค่าประมาณ 1,069.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.51 และร้อยละ 23.14 ตามลำดับ

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รองลงมา เช่น จีน ประมาณ 924,030 ตัน มูลค่าประมาณ 459.851 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.51 และร้อยละ 21.16 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กาน่า ประมาณ 510,013 ตัน มูลค่าประมาณ 302.978 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.88 และร้อยละ 14.85 ตามลำดับ ไอวอรี่โคสต์ ประมาณ 312,384 ตัน มูลค่าประมาณ 159.021 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 22.14 และร้อยละ 13.8 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาเลเซีย ประมาณ 252,810 ตัน มูลค่าประมาณ 125.214 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 51.97 และร้อยละ 44.49 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ ประมาณ 97,725 ตัน มูลค่าประมาณ 56.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.71 และร้อยละ 10.37 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ฮ่องกง ประมาณ 66,749 ตัน มูลค่าประมาณ 40.656 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 2.31 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาบังคลาเทศ ประมาณ 53,212 ตัน มูลค่าประมาณ 32.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9,385 และร้อยละ 11,034 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โมซัมบิก ประมาณ 50,034 ตัน มูลค่า 28.885 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 6.61 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และอินโดนีเซีย ประมาณ 54,688 ตัน มูลค่าประมาณ 26.792 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 34.75 และร้อยละ 41.26 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือน (นับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2564) เนื่องจากความต้องการข้าวจากต่างประเทศลดลงโดยเฉพาะตลาดในแถบแอฟริกา ขณะที่ผู้ซื้อบางส่วนชะลอการซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์ราคาข้าวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 354-360 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ตันละ 359-364 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ผู้บริหารของ บริษัท Olam ในอินเดีย คาดว่าความต้องการข้าวจากต่างประเทศจะลดลง เนื่องจากผู้ซื้อรอดูสถานการณ์ผลผลิตข้าวฤดูใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้

สำนักงานข่าวสารและสถิติเชิงพาณิชย์ (Directorate General of Commercial Intelligence and Statistics; DGCIS) รายงานว่า ในเดือนกันยายน 2564 อินเดียส่งออกข้าวได้ประมาณ 1.780 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.90 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 1.484 ล้านตัน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.70 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2564 ที่ส่งออกได้ประมาณ 1.623 ล้านตัน โดยชนิดข้าวที่ส่งออกในเดือนกันยายน 2564 ประกอบด้วย ข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 1.53 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.15 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 1.132 ล้านตัน และข้าวบาสมาติส่งออกได้ประมาณ 0.25 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 28.98 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 0.352 ล้านตัน

ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรก (เมษายน-กันยายน 2564) ของปีงบประมาณ 2564/65 (เมษายน 2564-มีนาคม 2565) อินเดียส่งออกข้าวได้ประมาณ 10.143 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.24 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 7.503 ล้านตัน ประกอบด้วย ข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 8.193 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.18 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 5.116 ล้านตัน และข้าวบาสมาติประมาณ 1.950 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 18.31 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 2.387 ล้านตัน

สำหรับปีที่ผ่านมา ปีงบประมาณ 2563/64 (เมษายน 2563-มีนาคม 2564) อินเดียส่งออกข้าวได้ 17,719,472 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 86.30 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 9,511,049 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8,815 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.80 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 6,351 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำแนกเป็น การส่งออกข้าวบาสมาติ 4,631,531 ตัน มูลค่า 4,019 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 868 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.97 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 7.20 และราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10.70

เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 4,454,771 ตัน มูลค่าประมาณ 4,331 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 972 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติประมาณ 13,087,941 ตัน มูลค่าประมาณ 4,796 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 366 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 158.8 และร้อยละ 137.4 ตามลำดับ แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงร้อยละ 8.30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้ประมาณ 5,056,278 ตัน มูลค่าประมาณ 2,020 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯกรมการอาหารและการกระจายสินค้าสาธารณะ สังกัดกระทรวงกิจการผู้บริโภค อาหาร และการกระจายสินค้าสาธารณะ (The Department of Food and Public Distribution under the Ministry of Consumer Affairs, Food and Public Distribution) แถลงว่า โครงการจัดหาข้าวของรัฐบาลในฤดูการผลิต Kharif (Kharif marketing season; KMS) ของปี 2564/65 (1 ตุลาคม 2564-30 กันยายน 2565) ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 สามารถจัดหาข้าวได้ประมาณ 24.802 ล้านตัน จากหลายรัฐ เช่น Chandigarh, Gujarat, Haryana, Himachal Pradesh, Jammu & Kashmir, Punjab, Uttar Pradesh, Uttrakhand, Telangana, Rajasthan, Kerala, Tamil Nadu และ Bihar โดยมีเกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้แล้วประมาณ 1.371 ล้านราย คิดเป็นมูลค่า 6,537.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นราคาเฉลี่ยของข้าวที่รัฐบาลรับซื้อประมาณตันละ 264 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ส่วนโครงการจัดหาข้าวของรัฐบาลฯ ในปี 2563/64 (1 ตุลาคม 2563-30 กันยายน 2564) รัฐบาลสามารถจัดหาข้าวได้ประมาณ 89.24 ล้านตันข้าวเปลือก ประกอบด้วย ข้าวจากฤดูการผลิต Kharif crop ประมาณ 71.810 ล้านตัน และจากฤดูการผลิต Rabi crop ประมาณ 17.615 ล้านตันโดยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 กระทรวงเกษตรและสวัสดิการเกษตรกร (the Ministry of Agriculture & Farmers Welfare) รายงานว่า รัฐบาลได้ประกาศราคารับซื้อข้าวขั้นต่ำ (the minimum support price; MSP)

สำหรับฤดูการผลิต Kharif (มิถุนายน-กันยายน 2564) ปี 2564/65 (ตุลาคม 2564-กันยายน 2565) โดยรัฐบาลได้ประเมินต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในปี 2564/65 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,293 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 177 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรมีผลกำไรประมาณร้อยละ 50 จากการเพาะปลูกข้าว รัฐบาลจึงกำหนดราคารับซื้อ ขั้นต่ำสำหรับข้าวคุณภาพธรรมดาไว้ที่ 1,940 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 266 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.85 จาก 1,868 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 256 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปี 2563/64 ขณะที่ข้าว คุณภาพดี (Grade ?A? paddy) กำหนดไว้ที่ 1,960 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 269 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.80 จาก 1,888 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 258 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปี 2563/64 องค์การอาหารแห่งชาติ (The Food Corporation of India; FCI) รายงานว่า สต็อกข้าว ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 มีประมาณ 39.99 ล้านตัน (รวมข้าวสารที่คำนวณมาจากสต็อกข้าวเปลือกประมาณ 25.469 ล้านตัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับจำนวน 34.02 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับ 34.75 ล้านตัน ในเดือนตุลาคม 2564

ขณะที่สต็อกธัญพืช (ข้าวและข้าวสาลี) โดยรวมของอินเดีย ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 82.112 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับ 74.319 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.22

เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยสต็อกข้าวสาลีมีประมาณ 41.981 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับ 40.299 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ลดลงร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับ 46.851 ล้านตัน ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติว่า รัฐบาลจะเพิกถอนกฎหมายปฏิรูปนโยบายด้านเกษตรกรรมทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของเกษตรกรทั่วอินเดีย และยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 โดยรัฐบาลของโมดียืนกรานมาตลอดว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการเปิดเสรีให้ผู้ผลิตและผู้ขายสามารถเจรจากันเองได้โดยตรง แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า กลุ่มผู้ไม่หวังดีจะอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อกดราคาสินค้า เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลจะประกันราคาขั้นต่ำให้กับสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มัน และธัญพืช หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยจะถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างแน่นอน

ด้านแกนนำของสหภาพเกษตรกรอินเดีย แสดงความยินดีและพึงพอใจต่อการที่รัฐบาลเป็นฝ่ายประนีประนอม ว่าเป็นผลจากพลังแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเกษตรกรในประเทศ แต่จะยุติการเคลื่อนไหวเมื่อโลกสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรเริ่มพิจารณาคำร้องยกเลิกกฎหมายจากรัฐบาลเท่านั้น โดยการเคลื่อนไหวอันยาวนานทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก จากการปะทะเป็นระยะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์เช่นกันว่าเป็นการหาเสียงและเรียกคืนคะแนนนิยมจากกลุ่มเกษตรกรหรือไม่ เนื่องจากการตัดสินใจของผู้นำอินเดียเกิดขึ้นก่อนที่รัฐอุตตรประเทศซึ่งมีประชากรมากที่สุดในอินเดีย และรัฐใหญ่อีกสองแห่ง จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงต้นปีหน้า และประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมด้วย แต่พรรคภารติยะ ชนตะ (BJP) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบันยืนกรานปฏิเสธ

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ