สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 21, 2022 13:46 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 14 - 20 กุมภาพันธ์ 2565

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ

โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,405 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,486 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.70

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 7,884 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,084 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.48

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 25,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,450 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,510 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 787 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,242 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 758 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,699 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.83 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 543 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 432 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,856 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 430 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,011 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.47 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 155 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 432 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,856 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 424 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,816 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.89 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 40 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.0733 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดข้าวกลับมาเปิดการซื้อขายอีกครั้งหลังจากที่หยุดไปในช่วงเทศกาลตรุษจีน (the Lunar New Year holiday) ขณะที่ภาวะการค้ายังไม่คึกคักมากนัก ซึ่งวงการค้าคาดว่าภาวะตลาดจะยังคงซบเซาไปจนถึงช่วงปลายเดือนมีนาคม 2565 โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ 395 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน อ่อนตัวลงจากระดับ 395-405 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการค้าข้าวคาดว่า ผลผลิตข้าวฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ (the main winter-spring harvest)จะออกสู่ตลาดสูงสุดในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2565 และคาดว่าในปี 2565 ตลาดนำเข้าข้าวที่สำคัญยังคงเป็นประเทศ ฟิลิปปินส์ และจีน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มมากขึ้นจากรายงานข้อมูลการส่งออกในเบื้องต้นของสำนักงานศุลกากรเวียดนาม (the Customs Department)

ในเดือนมกราคม 2565 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 505,741 ตัน มูลค่าประมาณ 246.024 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.42 และร้อยละ 28.22 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2564 ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.17 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 2.79 The Oceanic Agency and Shipping Service รายงานว่า ในช่วงวันที่ 6-15 กุมภาพันธ์ 2565 จะมีเรือบรรทุกสินค้า (breakbulk ships) อย่างน้อย 9 ลำ เข้ามารอรับสินค้าข้าวที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City (HCMC) Port เพื่อรับมอบข้าวประมาณ 92,300 ตัน และในช่วงระหว่างวันที่ 10-21 กุมภาพันธ์ 2565 จะมีเรือบรรทุกสินค้า (breakbulk ships) อย่างน้อย 13 ลำ เข้ามารอรับสินค้าข้าวที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City (HCMC) Port เพื่อรับมอบข้าวประมาณ 139,300 ตัน

รองนายกรัฐมนตรี นายเล วัน ถั่นห์ ได้ลงนามในยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรและพื้นที่ชนบทอย่างยั่งยืน ช่วงปี 2021-2030 (ช่วงปี 2564-2573) โดยมีเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ คือ การพัฒนาการเกษตรและพื้นที่ชนบทอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2021-2030 (ช่วงปี 2564-2573) โดยมีวิสัยทัศน์ว่า ภายในปี 2050 (ปี 2593) จะเปลี่ยนเวียดนามให้เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศภาคเกษตรกรรมชั้นนำของโลก

โดยรวมมีเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจบนข้อได้เปรียบของประเทศในด้านผลิตภาพ คุณภาพ ประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันสูง รับรองความมั่นคงด้านอาหารของชาติ และมีส่วนสร้างเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม รับมือกับภัยธรรมชาติและการป้องกันและควบคุมโรคระบาด

การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิผลยุทธศาสตร์นี้ยังมุ่งไปที่การยกระดับรายได้คุณภาพชีวิต บทบาท และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ทางการเกษตร ตลอดจนสร้างงานนอกภาคเกษตรเพื่อช่วยบรรเทาความยากจนให้กับชาวบ้านในชนบท และเปิดโอกาสในการพัฒนาที่เท่าเทียมกันในภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ มีการกำหนดทิศทางและภารกิจเพื่อการพัฒนาการเกษตรและชนบทที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรให้สมบูรณ์พร้อมกับความได้เปรียบทางการแข่งขันและความต้องการของตลาด ภาคการเพาะปลูกต้องปรับโครงสร้างพืชผล และปรับการจัดการการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมการผลิตเชิงยุทธศาสตร์ที่รองรับอุปสงค์ภายในประเทศและรองรับการส่งออก รวมทั้งต้องจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาพืชผลจากความได้เปรียบและความต้องการ (พืชผลทางอุตสาหกรรม ไม้ผลเมืองร้อน และข้าวคุณภาพสูง)

นอกจากนี้ ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาพืชผลใหม่ที่มีศักยภาพดี รวมทั้งพืชสมุนไพร ไม้ประดับ และเห็ดที่รับประทานได้ การผลิตข้าวต้องส่งเสริมความได้เปรียบของอุตสาหกรรมข้าวของเวียดนาม ควบคู่ไปกับนวัตกรรมในการคิดนโยบายการจัดการ และการใช้ที่ดินเพื่อการเพาะปลูกข้าวและการผลิตข้าว ยุทธศาสตร์ดังกล่าวยังกำหนดให้มีการจัดระเบียบขั้นตอนที่สำคัญในการผลิตเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ และรับรองการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าและรูปแบบการเกษตรขั้นสูง

การพัฒนาเศรษฐกิจในชนบทจะสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับชาวชนบท ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างชนบทที่มีความเจริญและทันสมัยร่วมกับการพัฒนาไปสู่เมืองและอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม

ทั้งนี้ รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท เป็นประธานคณะทำงาน และประสานงานกับกระทรวง หน่วยงาน และท้องถิ่น ในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์กระทรวง โดยจะต้องทบทวนสถานการณ์และรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเป็นประจำทุกปี การประเมินเบื้องต้นจะมีขึ้นในปี 2025 (ปี 2568) และผลตามยุทธศาสตร์จะประเมินในปี 2050 (ปี 2593)

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ฟิลิปปินส์

กรมบริการการเกษตรต่างประเทศ (Foreign Agriculture Service) กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา(the United States Department of USDA) ได้ประมาณการการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ในปี 2565 เป็น 2.9 ล้านตัน สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ปริมาณ 2.5 ล้านตัน โดยระบุว่าการคาดการณ์ที่สูงขึ้นมาจากความต้องการนำเข้าข้าวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการการผลิตข้าวสารของฟิลิปปินส์ในปี 2564/65 เป็น 12.4 ล้านตัน จากประมาณการก่อนหน้านี้ที่ 12.3 ล้านตัน รวมทั้งคาดการณ์ว่าการบริโภคของฟิลิปปินส์จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยจะมีปริมาณการบริโภคอยู่ที่ 14.95 ล้านตัน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 14.85 ล้านตัน

ทางด้านนาย Raul Montemayor ผู้จัดการสหพันธ์เกษตรกรอิสระ (the Federation of Free Farmers; FFF) กล่าวเตือนว่า การนำเข้าข้าวที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำลงได้ในช่วงฤดูแล้งที่จะถึงนี้ โดยนาย Raul Montemayor อ้างว่าในปี 2564 ฟิลิปปินส์มีการนำเข้าข้าวมากถึง 2.98 ล้านตัน ทำให้มีอุปทานส่วนเหลือจำนวนมากในช่วงที่เกษตรกรชาวนาเริ่มเก็บเกี่ยวพืชผลในฤดูแล้งนี้ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ส่งผลให้เกษตรกรจะต้องเผชิญกับราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำอีกครั้ง ในขณะที่ต้นทุนปุ๋ย เชื้อเพลิง และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ยังคงอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าเกษตรกรจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้จำนวนมาก แต่จะไม่มีความหมายหากราคาผลผลิตข้าวเปลือกตกต่ำ

ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (the Philippine Statistics Authority) แสดงให้เห็นว่า ราคาข้าวเปลือก (farmgate price of palay) ในประเทศปรับตัวลดลงในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2564 โดยมีราคาอยู่ที่ 16.65 เปโซต่อกิโลกรัม ลดลงร้อยละ 9.5 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ราคาอยู่ที่ 18.39 เปโซต่อกิโลกรัม นอกจากนี้สหพันธ์เกษตรกรอิสระ (FFF) ยังได้ทำการประเมินและวัดผลถึงผลกระทบของการจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้น โดยระบุว่าภายใต้พระราชบัญญัติสาธารณรัฐ 11598 (Republic Act 11598) หรือพระราชบัญญัติความช่วยเหลือเงินสดสำหรับเกษตรกรฟิลิปปินส์ (The Cash Assistance for Filipino Farmers Act) ที่ได้รับผลกระทบจากราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (the Department of Agriculture; DA) ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินแจกจ่ายเงินสด (cash transfers) จำนวน 5,000 เปโซ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่มีพื้นที่นา 2 เฮกตาร์หรือน้อยกว่า ไปจนถึงปี 2567 โดยใช้งบประมาณที่ได้จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าว (rice tariffs) ในส่วนที่เกิน 1 หมื่นล้านเปโซต่อปี ที่ต้องจัดเก็บเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าว (the Rice Competitiveness Enhancement Fund; RCEF) โดยพบว่าในปี 2564 รายได้ที่ได้จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าวสูงถึง 1.9 หมื่นล้านเปโซ ซึ่งหมายความว่าจะมีการแจกจ่ายเงิน จำนวน 9 พันล้านเปโซ จากจำนวนดังกล่าวให้แก่เกษตรกรในรูปของเงินช่วยเหลือผ่านโครงการความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับชาวนา (The Rice Farmers Financial Assistance Program) ภายใต้พระราชบัญญัติ ดังกล่าว

อย่างไรก็ดี รายได้จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นเกิดจากการนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำลง โดยเงินจำนวน 9 พันล้านเปโซ ที่จะมอบให้กับเกษตรกรถือเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่เกษตรกรต้องสูญเสียปีละประมาณ 6 หมื่นล้านเปโซ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่กฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าวบังคับใช้ (Rice Tariffication Law; RTL) นอกจากนี้ เกษตรกร 1 ใน 3 ของประเทศจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือใดๆ ภายใต้พระราชบัญญัติ RA 11598 เนื่องจากมีการบังคับใช้เฉพาะกับเกษตรกรชาวนาที่มีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกิน 2 เฮกตาร์เท่านั้น ผู้จัดการสหพันธ์เกษตรกรอิสระ (FFF) ระบุเพิ่มเติมว่า ผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมาไม่ได้ให้ประโยชน์กับเกษตรกรมากนัก เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้มาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูก และมีเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นผลมาจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยในภาพรวมผลผลิตต่อเฮกตาร์เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.6 ในปี 2564 เทียบเท่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1,095 เปโซต่อเฮกตาร์ ซึ่งไกลจากคำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลของกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ที่ออกมาระบุว่า ในปี 2564 แม้ว่าต้นทุนปุ๋ยจะเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 10,000 เปโซต่อเฮกตาร์

ทั้งนี้ สหพันธ์เกษตรกรอิสระยังได้ตั้งคำถามถึงประสิทธิผลของการแทรกแซงของกระทรวงเกษตร โดยตั้งข้อสังเกตว่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นประมาณ 665,000 ตัน ในปี 2564 มีมูลค่าทางการตลาดเพียง 1.1 หมื่นล้านเปโซ โดยสหพันธ์เกษตรกรอิสระได้สนับสนุนการเรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณทางการเกษตร แต่ต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่า จะมีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ โดยเห็นว่าการใช้เงิน 1 เปโซ เพื่อให้ได้เงินคืนเพียง 1 เป โซ ไม่ใช่วิธีที่ดีในการใช้งบประมาณของรัฐบาล

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ