สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 30, 2022 14:09 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 16 - 22 พฤษภาคม 2565

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้ 2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพโดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,221 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 12,739 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.78

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,900 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,659 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.78

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,990 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 32,100 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.77

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,550 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,939 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 940 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,254 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.28 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,685 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 467 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,865 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 461 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,818 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.30 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 47 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 479 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,273 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 473 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,230 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 43 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.9729 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ฟิลิปปินส์

สำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry; BPI) กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ รายงานว่า ในเดือนเมษายน 2565 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจำนวน 384,594.907 ตัน ลดลงประมาณร้อยละ 7.16 เมื่อเทียบกับจำนวน 414,243.005 ตัน ในเดือนมีนาคม 2565 และลดลงประมาณร้อยละ 52.22 เมื่อเทียบกับจำนวน 804,996.53 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-เมษายน 2565) ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าว ประมาณ 1.189 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 47.77 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำนักอุตสาหกรรมพืช (BPI) รายงานข้อมูลการนำเข้าข้าวล่าสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ? 12 พฤษภาคม 2565 มีจำนวนประมาณ 1.289 ล้านตัน โดยมีผู้ยื่นขออนุญาตนำเข้าข้าวทั้งที่เป็นผู้ค้าข้าว และบริษัทต่างๆ รวม 113 ราย โดยใช้ใบรับรองสุขอนามัยพืช (sanitary and phytosanitary import clearances: SPICS) จำนวน 1,590 ใบ ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 12 พฤษภาคม 2565 แหล่งนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ประกอบด้วย ประเทศกัมพูชา จีน อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เมียนมาร์ ปากีสถาน สิงคโปร์ สเปน ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม โดยฟิลิปปินส์นำเข้าจากเวียดนามมากที่สุด จำนวน 1.008 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 84.8 ของการนำเข้าข้าวทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ เมียนมาร์ จำนวน 120,859.28 ตัน ปากีสถาน จำนวน 75,930.675 ตัน และไทย จำนวน 74,593.125 ตัน

สำหรับเอกชนผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัท Bestow Industries Inc. มีปริมาณนำเข้า 80,115 ตัน รองลงมา คือ บริษัท Macman Rice and Corn Trading มีปริมาณนำเข้า 63,200 ตันที่ผ่านมา Business Mirror รายงานว่า การนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เกิดจากการที่ผู้นำเข้าข้าวได้เร่งนำเข้าข้าวเพื่อสำรองไว้ท่ามกลางความคาดหวังว่าอุปทานข้าวจะตึงตัวและผลผลิตในประเทศที่ลดลง เนื่องจากราคาปัจจัยการผลิตที่พุ่งสูงขึ้นตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าว ระบุว่า ฤดูกาลเลือกตั้งทั่วประเทศมีส่วนทำให้ความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความต้องการบริโภคข้าวราคาต่ำเพิ่มขึ้น (low-cost rice) เนื่องจากการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งทำให้เกิดความต้องการข้าวราคาต่ำโดยเฉพาะจากเมียนมาร์ Manila Bulletin รายงานว่า ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 รัฐบาลฟิลิปปินส์สามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าวจำนวน 46 พันล้านเปโซ (ประมาณ 878.14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งรัฐบาลได้เก็บภาษีนำเข้าข้าวเพื่อนำงบประมาณ ไปสนับสนุนภาคการผลิตข้าวของประเทศผ่านกองทุนส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของข้าว (the Rice Competitiveness Enhancement Fund; RCEF) ตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยอัตราภาษีข้าว (the Rice Tariffication Law; RTL) ซึ่งตามกฎหมาย รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 10 พันล้านเปโซต่อปี (ประมาณ 196 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนทางการเงินในโครงการสนับสนุนชาวนา เช่น การช่วยเหลือทางการเงินแก่ชาวนา การไถพรวนพื้นที่เกษตร การขยายความคุ้มครองการประกันพืชผล และการส่งเสริมความหลากหลายทางพืชผล

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า สต็อกข้าว ณ วันที่ 1 มีนาคม 2565 มีจำนวนประมาณ 1.63251 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอสำหรับบริโภคประมาณ 51 วัน (คำนวณจากความต้องการบริโภควันละประมาณ 32,000 ตัน) น้อยกว่าระดับที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 90 วัน โดยปริมาณสต็อกข้าว เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับจำนวน 1.60925 ล้านตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่ลดลงร้อยละ 21.5 เมื่อเทียบกับจำนวน 2.0801 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปี 2564

ทั้งนี้ สต็อกในคลังขององค์การอาหารแห่งชาติ (The National Food Authority; NFA) มีจำนวนประมาณ 0.15626 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 41.1 เมื่อเทียบกับจำนวน 0.26532 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของสต็อกข้าวทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการบริโภคประมาณ 5 วัน) โดยสต็อกข้าวของ NFA ลดลงประมาณร้อยละ 13.8 เมื่อเทียบกับจำนวน 0.18123 ล้านตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565

ขณะที่สต็อกในคลังของเอกชน (Commercial warehouses) มีจำนวนประมาณ 0.61133 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับจำนวน 0.58466 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 37.4 ของสต็อกข้าวทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการบริโภคประมาณ 19 วัน) และเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.1 เมื่อเทียบกับจำนวน 0.54527 ล้านตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ส่วนสต็อกในภาคครัวเรือน (Household stocks) มีจำนวนประมาณ 0.86492 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 29.7 เมื่อเทียบกับจำนวน 1.23013 ล้านตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (คิดเป็นร้อยละ 53.0 ของสต็อกข้าวทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการบริโภคประมาณ 27 วัน) และลดลงประมาณร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับจำนวน 0.88274 ล้านตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง เนื่องจากค่าเงินรูปีเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ยังคงมีทิศทางอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 77.79 รูปีต่อเหรียญสหรัฐฯ ประกอบกับรัฐบาลยังคงมีการระบายข้าวออกมาสู่ตลาดผ่านโครงการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ระดับ 351- 356 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากระดับ 357-361 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน ขณะที่วงการค้าคาดว่า การอ่อนค่าของเงินรูปีจะส่งผลให้ความต้องการข้าวจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของข้าวหักที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ และแปรรูปอาหาร

สำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย (the India Meteorological Department) ที่พยากรณ์ว่า ฤดูมรสุม (ฤดูฝน) จะเริ่มขึ้นและมีผลกระทบต่อรัฐ Kerala ในช่วงตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2565

ซึ่งเร็วกว่าเวลาปกติ 5 วัน (ตามปกติฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ของทุกปี) โดยก่อนหน้านี้กรมอุตุนิยมวิทยา (IMD) คาดการณ์ปริมาณฝนในปีนี้จะอยู่ในช่วงค่าเฉลี่ยปกติทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา (IMD) ได้กำหนดปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยหรือปกติ (average or normal rainfall)ว่าอยู่ในช่วงร้อยละ 96 - 104 ของค่าเฉลี่ย 50 ปีที่ระดับ 87 เซ็นติเมตร (ประมาณ 35 นิ้ว) สำหรับฤดูกาลในช่วง 4 เดือน (มิถุนายน-กันยายน) ซึ่งฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่เกิดขึ้นในทุกปี มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคการเกษตรของอินเดีย

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ