สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 6, 2022 13:24 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 30 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน 2565

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ

โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,767 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,221 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.13

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,987 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,900 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.98

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 33,025 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 32,990 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.75

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 963 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,728 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,939 บาท/ตัน)

ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.60 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 1,211 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 465 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,803 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 467 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,865 บาท/ตัน)

ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 62 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 477 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,211 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 479 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,273 บาท/ตัน)

ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.42 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 62 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.9856 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย-เวียดนาม: หารือยกระดับราคาข้าวเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดโลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) ได้หารือกับนายทรัน ทานห์ นาม (H.E. Mr. Tran Thanh Nam) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการเกษตร ระหว่างไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในโอกาสที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทฯ ได้เดินทางมาร่วมงาน ?เทคโนโลยีเกษตรเอเชียและพืชสวนเอเชีย 2022 (Agritechnica Asia & Horti Asia 2022) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สนับสนุนร่วมกับ German Agriculture Society (DLG)

ด้านนายทรัน ทานห์ นาม ได้หารือความร่วมมือในด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ความปลอดภัยด้านอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางเกษตร 2) การสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหกรณ์การเกษตร ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นว่าประเทศไทยมีสหกรณ์การเกษตรที่เข้มเข็งและมีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์ OTOP จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มาดูงานด้านสหกรณ์ในประเทศไทย 3) การสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เครื่องมือทางการเกษตรแทนแรงงานคน 4) การอบรมเกษตรกร และ 5) ความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary: SPS) นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ไทยยินดีให้การสนับสนุนเวียดนามในประเด็นดังกล่าว และเห็นว่าทั้งสองประเทศมีกลไกความร่วมมือด้านการเกษตร และ SPS ในรูปคณะทำงานร่วม ซึ่งสามารถเร่งรัดนัดหมายประชุมเพื่อเดินหน้าความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้โดยเร็ว ทั้งนี้ มีประเด็นที่ขอความร่วมมือในการดำเนินการต่างๆ ดังนี้

1. เสนอให้กระชับความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับไทยเรื่องข้าว ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อยกระดับราคาข้าวและเพิ่มรายได้ให้ชาวนา เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ราคาข้าวในตลาดโลกต่ำมาก อยู่ที่ 300-400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในขณะที่ต้นทุนสูงขึ้นตลอดเวลา หากไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกร่วมมือกัน จะมีอำนาจต่อรองครองตลาดโลก เกษตรกรของทั้ง 2 ประเทศ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นพ้นจากความยากจนและหนี้สิน

2. เสนอให้เวียดนามสนับสนุนการจัดตั้งสภายางพาราอาเซียน (ASEAN RUBBER COUNCIL: ARCO)เพื่อร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารา สนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง และเพิ่มอำนาจการต่อรองของกลุ่มอาเซียน

3. ขอให้ฝ่ายเวียดนามเร่งรัดการอนุญาตนำเข้ามะม่วง และเงาะ จากไทย ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันตั้งแต่ปี 2559 รวมทั้งการส่งออกลูกไก่ และไข่ฟักพ่อแม่พันธุ์ จากไทยไปเวียดนาม ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้นำประเด็นดังกล่าวไปหารือเพิ่มเติมในการประชุม SPS

4. เสนอเวียดนามพิจารณาจัดสรรคิวรถขนส่งผลไม้สด ซึ่งเป็นสินค้าเน่าเสียง่ายของไทย ที่จะผ่านด่านเวียดนามไปจีนเป็นกรณีพิเศษ เช่น ด่านโหยวอี้กวน ด่านตงชิง เป็นต้น

5. เสนอเพิ่มความร่วมมือด้านโลจิสติกส์การเกษตรระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ผ่านท่าเรือหวุ่งอ๋าง (Vung Ang) และท่าเรือไฮฟอง ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขนส่งผลไม้ และสินค้าเกษตร ไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอื่นๆ

6. ประเทศไทยสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องโอค็อป (One Commune One Product: OCOP) ของเวียดนามเช่นกัน

7. ขอให้ฝ่ายเวียดนามเร่งแจ้งรายชื่อผู้ประสานงานหลัก (Contact Point) และจัดประชุม SPS ครั้งที่ 2

โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้นำเสนอประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมในภายหลังการหารือครั้งนี้ และเห็นควรให้มีการหารือในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ในคณะทำงานร่วมโดยเฉพาะในช่วงการจัดงาน Agritechnica ที่ฝ่ายเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งเวียดนามแจ้งว่าจะมีหนังสือเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมงานดังกล่าวอย่างเป็นทางการโดยเร็วต่อไป

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

อินเดีย: อินเดียไร้แผนจำกัดส่งออกข้าว เหตุอุปทานในประเทศพุ่ง

อินเดียยังไม่มีแผนควบคุมการส่งออกข้าว เนื่องจากมีข้าวในสต็อกเพียงพอ และราคาข้าวในประเทศยังถูกกว่าราคากลางที่รัฐบาลกำหนด หลังอินเดียสั่งห้ามส่งออกข้าวสาลีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 หลังอินเดียคาดการณ์การส่งออกข้าวสาลีในปีนี้ไว้ที่ 10 ล้านตัน เนื่องจากคลื่นความร้อนกระทบผลผลิตและหนุนให้ราคาข้าวสาลีในประเทศปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสรายหนึ่งของรัฐบาลอินเดีย กล่าวว่า ?มีสต็อกข้าวเพียงพอและไม่มีความเสี่ยงทั้งในด้านราคา และปริมาณสำหรับการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ?

ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า ?ขณะนี้ รัฐบาลอินเดียยังไม่ได้พิจารณาเรื่องการสั่งห้ามส่งออกข้าว?สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การส่งออกข้าวจากอินเดียมีปริมาณ 21.2 ล้านตัน ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2565 ปรับสูงขึ้นจากเมื่อปีที่ผ่านมาที่ส่งออกปริมาณ 17.8 ล้านตัน โดยอินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้บริโภคข้าวอันดับสองของโลก

นายกฤษณะ เรา ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวอินเดีย ระบุว่า ราคาข้าวเริ่มปรับลดลง แม้ว่ายอดส่งออกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากอินเดียมีข้าวในสต็อกปริมาณมหาศาล และบรรษัทอาหารแห่งอินเดีย (Food Corporation of India: FCI)ซึ่งมีหน้าที่จัดเก็บสต็อกข้าว ได้ดำเนินการซื้อข้าวเพิ่มมากขึ้น

นายเรา กล่าวว่า ?อินเดียไม่มีความจำเป็นต้องจำกัดการส่งออก แม้ว่าผลผลิตและราคาข้าวสาลีได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ทั้งสองประเทศไม่ได้เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคข้าวรายใหญ่?

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ