สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 27, 2022 15:21 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 20 - 26 มิถุนายน 2565

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้ 2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ

โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,940 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,028 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.62

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,132 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,152 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,250 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,710 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.72

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 876 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,793 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 885 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,741 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.02 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 52 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,010 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 441 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,318 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.17 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 308 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 441 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,502 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 452 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,700 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.43 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 198 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.1513 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบุรินทร์ ธนถาวรลาภ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เปิดเผยว่า เดือนกรกฎาคมนี้ ผู้ประกอบการข้าวสารบรรจุถุงเตรียมจะปรับขึ้นราคาข้าวถุง โดยข้าวสารหอมมะลิบรรจุถุง (ขนาด 5 ก.ก.) จะปรับขึ้น 30 บาท/ถุง คือ ปรับจาก 165 บาท/ถุง เป็น 195 บาท/ถุง ส่วนข้าวสารเจ้า ปรับขึ้น 10 บาท/ถุง คือ ปรับจาก 80-90 บาท/ถุง เป็น 90-100 บาท/ถุง เนื่องจากสต็อกข้าวสารเก่าหมดแล้ว ขณะที่ข้าวสารล็อตใหม่มีราคาแพงขึ้นมาก โดยข้าวสารหอมมะลิ มีราคาปรับจาก 2,300 บาท/กระสอบ (100 ก.ก.) เป็น 3,200 บาท/กระสอบ ส่วนข้าวสารเจ้า ราคาปรับจาก 1,300 บาท/กระสอบ เป็น 1,450 บาท/กระสอบ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมากจนต้องปรับราคาจำหน่ายข้าวถุง

?ตอนนี้ข้าวถุงก็เหมือนระเบิดเวลา รอวันที่จะระเบิด เพราะผู้ประกอบการยื้อราคาต่อไม่ไหว ที่ผ่านมาผู้ประกอบการข้าวถุงขายข้าวตัดราคากันเอง ขายต่ำแบบขายขาดทุน เพื่อช่วงชิงตลาดในช่วงที่กำลังซื้อหดตัวอย่างมาก ทำให้ข้าวราคาต่ำผิดปกติ แต่วันนี้ ต้นทุนข้าวสารแพงขึ้นมาก คงจะทนขายขาดทุนต่อไปไม่ไหว ต้องปรับขึ้นราคาแน่นอนในเดือนหน้า?

นายบุรินทร์ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการข้าวถุงแทบไม่มีกำไรจากการขายข้าว ได้กำไรเฉลี่ย 0.50-1 บาท/ถุง เท่านั้น เพราะต้นทุนข้าสารสูงมาก ข้าวสารหอมมะลิ ต้นทุนอยู่ที่ 165 บาท/ถุง ราคาขายก็อยู่ที่165 บาท/ถุง ส่วนข้าวสารเจ้า ต้นทุนอยู่ที่ 88 บาท/ถุง ราคาขายอยู่ที่ 92-95 บาท/ถุง

สำหรับในส่วนของข้าวสารเจ้า แม้ว่าราคาขายจะสูงกว่าต้นทุน แต่ผู้ประกอบการก็ไม่ได้กำไร กำไรไปอยู่กับห้างที่นำข้าวถุงไปขาย เพราะปัจจุบันห้างมีการเรียกเก็บค่าส่วนลด ขอส่วนแบ่งกำไร จิปาถะจำนวนมากจากผู้ประกอบการข้าวถุง รวมๆ ราวร้อยละ 10 ทำให้ผู้ประกอบการไม่มีกำไร อยากให้กระทรวงพาณิชย์ เข้าไปดูแลให้เกิดความเป็นธรรมด้วย

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในระดับทรงตัว ท่ามกลางภาวะความต้องการข้าวที่แข็งแกร่งจากการที่ผู้ซื้อข้าวจากต่างประเทศกังวลว่าอินเดียอาจจะจำกัดการจัดส่งออกข้าวในอนาคต หลังจากที่รัฐบาลได้จำกัดการส่งออกข้าวสาลีและน้ำตาลไปแล้ว ในขณะที่ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปีส่งผลให้ราคาข้าวนึ่ง 5% ทรงตัวอยู่ที่ตันละ 357-362 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับเมื่อสัปดาห์ก่อน

สำนักข่าว The Indian Express รายงานว่า ในปีงบประมาณ 2021/22 (เมษายน 2564-มีนาคม 2565) ประเทศจีนนำเข้าข้าวจากอินเดียประมาณ 1.634 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 383 เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 331,000 ตัน ในปี 2563/64 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.7 ของปริมาณส่งออกข้าวของอินเดียในปี 2564/65 ที่ส่งออกได้ 21.21 ล้านตัน โดยประเทศจีนนำเข้าข้าวหักจากอินเดียประมาณ 1.576 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 97 ของการนำเข้าข้าวของจีนจากอินเดีย และทำให้ประเทศจีนเป็นผู้นำเข้าข้าวหักรายใหญ่ที่สุดของอินเดียอดีตประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวอินเดีย (the former president of All India Rice Exporters Association (AIREA)) ระบุว่า การที่ประเทศจีนนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความต้องการนำไปใช้อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น นอกจากนี้การที่ภาวะราคาข้าวโพด ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นยังเป็นแรงผลักดันให้ประเทศจีนต้องนำเข้าข้าวหักเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปทดแทนข้าวโพดด้วย

ในปีงบประมาณ 2564/65 (เมษายน 2564-มีนาคม 2565) อินเดียส่งออกข้าวได้ประมาณ 21.21 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 19.3 เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 17.779 ล้านตัน ในปี 2563/64 โดยส่งออกข้าวบาสมาติ ประมาณ 3.948 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 14.73 เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 4.63 ล้านตัน ในปี 2563/64 ขณะที่การส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ (Non-basmati rice) มีประมาณ 17.262 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 31.27 เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 13.149 ล้านตัน ในปี 2563/64 โดยในจำนวนนี้เป็นข้าวหักประมาณ 3.864 ล้านตัน ซึ่งถูกส่งไปยังประเทศจีนประมาณ 1.576 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 476.4 เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 0.273 ล้านตัน ในปี 2563/64

ทางด้านอธิบดีกรมข่าวกรองและสถิติเชิงพาณิชย์ (Directorate General of Commercial Intelligence and Statistics (DGCIS)) ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2563/64 (เมษายน 2564-มีนาคม 2565) อินเดียส่งออกข้าวบาสมาติประมาณ 3.947 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 3.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าลดลงประมาณร้อยละ 14.73 และร้อยละ 11.51 เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 4.631 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 4.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563/64

โดยอินเดียส่งออกข้าวบาสมาติไปยัง 153 ประเทศ โดย 10 อันดับแรกประกอบด้วยประเทศ Iran, Saudi Arabia, Iraq, United Arab Emirates (UAE), Yemen, United States of America, Kuwait, United Kingdom, Oman และ Qatar โดยประเทศ Iran นำเข้าประมาณ 0.998 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.53) ตามด้วยประเทศ Saudi Arabia จำนวนประมาณ 0.36 ล้านตัน (ลดลงร้อยละ 34.8) ประเทศ Iraq จำนวนประมาณ 0.159 ล้านตัน (ลดลงร้อยละ 27.4) เป็นต้น

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย (the India Meteorological Department) ว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูฝน (ฤดูมรสุม) เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนมาจนถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 อินเดีย ได้รับน้ำฝนที่ตกลงมาในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณร้อยละ 37 โดยพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศได้รับปริมาณน้ำฝนในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติประมาณร้อยละ 83 ร้อยละ 66 และร้อยละ 39 ตามลำดับ ในขณะที่ทางภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับปริมาณน้ำฝนในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติประมาณร้อยละ 2

ทั้งนี้ ฤดูฝนอย่างเป็นทางการของอินเดียได้เริ่มขึ้นและมีผลกระทบต่อรัฐ Kerala ที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2565 ซึ่งเร็วกว่าเวลาปกติ 2 วัน (ตามปกติฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายนของทุกปี)

ก่อนหน้านี้กรมอุตุนิยมวิทยา (IMD) คาดการณ์ปริมาณฝนในปีนี้จะอยู่ในช่วงค่าเฉลี่ยปกติที่ระดับร้อยละ 103 โดยจะมีการกระจายตัวไปทั่วประเทศในระดับที่ดีซึ่งการพยากรณ์ที่ว่าปริมาณฝนจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีนั้นมีแนวโน้มที่ช่วยให้ผลผลิตข้าวในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งนี้กรมอุตุนิยมวิทยา (IMD) ได้กำหนดปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยหรือปกติ (average or normal rainfall) ว่าอยู่ในช่วงร้อยละ 96-104 ของค่าเฉลี่ย 50 ปีที่ระดับ 88 เซ็นติเมตร (ประมาณ 34 นิ้ว) สำหรับฤดูกาลในช่วง 4 เดือน (มิถุนายน-กันยายน) ซึ่งฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่เกิดขึ้นในทุกปีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคการเกษตรของอินเดียสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลีรายงานว่า หลังจากรัฐบาลอินเดียระงับการส่งออกข้าวสาลีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 ส่งผลให้กลุ่มผู้ค้าข้าวได้ทำการเพิ่มจำนวนการสั่งซื้อรวมไปถึงวางแผนการสั่งซื้อและการจัดส่งในระยะยาว เนื่องจากกลัวว่าอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกจะระงับการส่งออกข้าวอีกครั้ง

โดยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกลุ่มผู้ค้าข้าวได้ทำการลงนามสัญญาการส่งออกข้าวเป็นจำนวน 1 ล้านตัน และจะเริ่มการจัดส่งในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน พร้อมทั้งเร่งทำการเปิดตราสารเครดิต (LCs) เพื่อเป็นการรับประกันว่าข้าวจะถูกส่งไปถึงผู้ซื้อถึงแม้ว่าทางการอินเดียจะระงับการส่งออกข้าวในอนาคต โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้มี

การสั่งซื้อข้าวจำนวนสูงถึง 9.6 ล้านตัน และได้ทำการขนส่งออกจากอินเดียแล้ว ซึ่งถือว่าเทียบเท่า ปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของปี 2564

ทางนายฮิมานชูอัครวาล กรรมการบริหาร Satyam Balajee หนึ่งในบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ของอินเดียกล่าวว่า ผู้ค้าต่างชาติได้สั่งซื้อข้าวล่วงหน้าสำหรับ 3-4 เดือน พร้อมทั้งเปิดตราสารเครดิต จากยอดการสั่งซื้อจำนวนมากจากอินเดียสามารถลดอุปสงค์ข้าวจากเวียดนามและไทยที่เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกที่ 2 และ 3 ตามลำดับ

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทางอินเดียได้สร้างความแปลกใจโดยระงับการส่งออกข้าวสาลี ซึ่งประกาศนี้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากรัฐบาลได้ตั้งเป้าที่จะทำลายสถิติส่งออกในปี 2565 รวมไปถึงการจำกัดการส่งออกน้ำตาลซึ่งอินเดียเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลกลำดับที่ 2 รองจากบราซิล ซึ่งจากการห้ามการส่งออกข้าวสาลีของอินเดียทำให้มีธัญพืชเป็นจำนวนมากค้างอยู่ที่ท่าเรือ เนื่องจากทางรัฐบาลจะอนุญาตการส่งออกสำหรับผู้ที่มีตราสารเครดิตเท่านั้น

นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวอินเดียกล่าว ผู้ซื้อทั่วโลกต่างจับจ้องข้าวอินเดียเนื่องจากข้าวอินเดียนั้นถูกกว่าคู่แข่งรายอื่นมากถึงร้อยละ 30 โดยตัวแทนจำหน่ายกล่าวว่า ข้าวขาว 5% ของอินเดียมีราคาอยู่ที่ตันละ 330-340 ดอลลาร์สหรัฐฯ (FOB) ซึ่งราคาต่ำกว่าราคาของไทยที่ตันละ 455-460 ดอลลาร์สหรัฐฯ และต่ำกว่าเวียดนามที่ตันละ 420-425 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประเทศบังคลาเทศ จีน เบนิน แคเมอรูน เนปาล เซเนกัล และโตโก คือประเทศหลักที่นำเข้าข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ (Non-Basmati Rice) จากอินเดีย

ทั้งนี้ แม้ว่า Department of Food & Public Distribution ของอินเดียได้ออกมายืนยันว่าอินเดียยังมีปริมาณคลังข้าวเกินเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศและราคาในประเทศอยู่ในภาวะปกติก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศเพิ่มคำสั่งซื้อและคาดการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกอาจปรับตัวสูงขึ้นและไม่มั่นใจว่าอินเดียจะใช้มาตรการห้ามส่งออกหรือควบคุมการส่งออกข้าวในระยะต่อไปหรือไม่ เช่น กรณีห้ามส่งออกข้าวสาลีอย่างกระทันหันก่อนหน้านี้ทั้งนี้ การออกมาตรการห้ามส่งออกข้าวสาลีของอินเดียเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ ราคาอาหารภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เหตุการณ์ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครน การส่งออกที่ไม่มีการควบคุมก่อนหน้านี้ และผลผลิตข้าวสาลีในประเทศที่ผลิตได้น้อยลงจากคลื่นความร้อนในปีนี้ ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในหลายประเทศ

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

บังคลาเทศ

มีรายงานว่า จากการที่มีฝนตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่บางส่วนของประเทศ ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมตามมานั้น กระทรวงเกษตรได้ประมาณการว่าอาจจะมีพืชผลทางการเกษตรที่เป็นผลผลิตข้าวประมาณ 300,000 ตัน ได้รับความเสียหาย

ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีกระทรวงอาหารกล่าวว่า บังกลาเทศจะอนุญาตให้ผู้ค้าเอกชนนำเข้าข้าวได้ซึ่งคาดว่าข้าวส่วนใหญ่จะมาจากอินเดียโดยการขนส่งมาทางถนน เนื่องจากมีต้นทุนราคาที่สามารถแข่งขันได้

ทั้งนี้ เว็บไซต์ Financial Express รายงานว่า รัฐบาลบังคลาเทศมีแนวโน้มที่จะลดภาษีนำเข้าข้าวจากปัจจุบันที่อัตราร้อยละ 62.5 ลงเหลือร้อยละ 0 เพื่อส่งเสริมให้ผู้นำเข้าเอกชนนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในประเทศ

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ