นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตมันสำปะหลังของไทย พบว่า ฤดูการผลิตปี 2564/65 (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565) มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว รวมทั้งประเทศ 10.18 ล้านไร่ ผลผลิต 34.69 ล้านตัน โดยเนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิต ลดลงจากปี 2563/64 ที่มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 10.41 ล้านไร่ ผลผลิต 35.09 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 2.21 และร้อยละ 1.14 ตามลำดับ เนื่องจากเนื้อที่เพาะปลูกมันสำปะหลังประสบอุทกภัยในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม 2564 ทำให้หัวมันเน่าเสียหาย ส่งผลให้เนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตลดลง ขณะที่ ผลผลิตต่อไร่ 3.41 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.37 ตัน ในปี 2563/64 หรือร้อยละ 1.19 เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้รับอุทกภัย ได้รับน้ำฝนเพียงพอในช่วงมันสำปะหลังเริ่มลงหัวและสะสมอาหารซึ่งดีกว่าช่วงต้นปี 2563 ที่ประสบภัยแล้ง
ในการนี้ สศก. ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดสินค้ามันสำปะหลังในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นจังหวัดแหล่งผลิตอันดับ 2 ของประเทศ รองจากนครราชสีมา โดยจากการลงพื้นที่อำเภอไทรงาม อำเภอขาณุวรลักษบุรี และอำเภอคลองลาน ระหว่างวันที่ 22 ? 24 มิถุนายน 2565 พบว่า ฤดูการผลิตปี 2564/65 จังหวัดกำแพงเพชรมีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 0.76 ล้านไร่ (ร้อยละ 7.45 ของเนื้อที่เก็บเกี่ยวมันสำปะหลังทั้งประเทศ) และผลผลิต 2.54 ล้านตัน (ร้อยละ 7.31 ของผลผลิตมันสำปะหลังทั้งประเทศ) โดยเกษตรกรจังหวัดกำแพงเพชร นิยมปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ ห้วยบง 90 , ระยอง 9 และระยอง 15 เนื่องจากมีเปอร์เซนต์เชื้อแป้งสูง และให้ผลผลิตต่อไร่สูง เกษตรกรจะเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังเมื่ออายุครบ 8 - 12 เดือน ซึ่งให้เชื้อแป้งเฉลี่ย 25 ? 30% ทั้งนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ในจังหวัด จะขายหัวมันสดที่ลานมันใกล้แปลงปลูก โดยราคารับซื้อหัวมันสำปะหลังคละราคา ณ เดือนมิถุนายน 2565 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.50 - 2.70 บาท ส่วนราคาหัวมันสำปะหลังเชื้อแป้ง 30% เฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 3.00 - 3.10 บาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่แบบคละเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.45 ? 1.50 บาท และเชื้อแป้ง 30% เฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 2.05 ? 2.75 บาท เนื่องจากมันสำปะหลังไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะจีนนำไปผลิตเป็นเอทานอล สำหรับลานมันเมื่อรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรแล้ว จะนำหัวมันสำปะหลังไปแปรรูปเป็นมันเส้นหรือนำไปส่งโรงงานแป้งมันสำปะหลังที่อยู่ภายในจังหวัดกำแพงเพชร นอกจากนี้ กำแพงเพชรยังเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตมันสำปะหลังจากจังหวัดต่างๆ ของภาคเหนือ เช่น จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ตาก สุโขทัย และลำปาง เป็นต้น
?จากสถานการณ์ราคาปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย และน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ทำให้ต้นทุนการปลูกมันสำปะหลังสูงขึ้นไปด้วย ดังนั้น เกษตรกรควรติดตามสถานการณ์สภาพอากาศอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสม โดยใช้พันธุ์ดี ต้านทานโรค และ %เชื้อแป้งสูง เช่น พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 ระยอง 72 รวมทั้งพันธุ์อื่นๆ ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ ให้เหมาะสมตามสภาพพื้นที่ ส่วนเกษตรกรที่มีแหล่งน้ำ แนะนำให้ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อให้แปลงปลูกมันสำปะหลังได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งหากขาดน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวอาจทำให้ผลผลิตลดลง และที่สำคัญ เกษตรกรควรเก็บหัวมันสดในช่วง 8 ? 12 เดือน หลังการเพาะปลูก และให้มีสิ่งเจือปนเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรขายหัวมันสดได้ในราคาที่สูงขึ้น? เลขาธิการ สศก. กล่าว
ด้านนางกาญจนา แดงรุ่งโรจน์ รองเลขาธิการ สศก. กล่าวเสริมว่า ในการลงพื้นที่ของ สศก. โดยทีมสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรครั้งนี้ พบว่า ขณะนี้เกษตรกรในจังหวัดกำแพงเพชรส่วนใหญ่ได้เพาะปลูกมันสำปะหลัง ฤดูการผลิตปี 2565/66 แล้ว โดยเพาะปลูกในฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายนที่ผ่านมา และจะเก็บเกี่ยวในฤดูแล้งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ? เมษายน 2566 พร้อมนี้ ได้ติดตามการดำเนินงานของสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ คือ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาด (สกต.) ลูกค้า ธกส. จังหวัดกำแพงเพชร โดยพบว่า สกต. ทำหน้าที่รวบรวมมันสำปะหลังในพื้นที่ เช่น อำเภอโกสัมพีนคร อำเภอคลองลาน และ อำเภอขาณุวรลักษบุรี ซึ่งจะมีการรับซื้อมันเส้นจากเกษตรกรและให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดกิโลกรัมละ 0.50 บาท สำหรับเกษตรกรที่นำหัวมันสดมาขาย สามารถเลือกได้ว่าจะวัดเปอร์เซ็นต์แป้ง หรือขายเป็นมันคละ ทั้งนี้ สกต. ยังได้เข้าร่วมโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย เป็นต้น โดยในปีนี้ สกต. จำหน่ายมันเส้นสะอาดให้กับสหกรณ์โคนมและผู้ประกอบการ ส่วนในปี 2566 มีแผนดำเนินการจำหน่ายมันเส้นสะอาด จำนวน 20,000 ตัน โดยขยายเครือข่ายการผลิตไปยัง สกต. จังหวัดใกล้เคียง
รองเลขาธิการ สศก. กล่าวทิ้งท้ายว่า ?สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเงินทุนสนับสนุน สามารถเข้าร่วมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังได้ โดย ธ.ก.ส. จะสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตของเกษตรกร ให้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม วงเงินกู้รายละไม่เกิน 230,000 บาท คิดดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ ในอัตรา ร้อยละ 6.50 ต่อปี คิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรผู้กู้ในอัตราร้อยละ 3.50 ต่อปี และรัฐชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 24 เดือน นอกจากนี้ ภาครัฐ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้หลากหลายมากขึ้น เช่น แป้งฟลาวมันสำปะหลัง ซึ่งอยู่ในกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรเก็บเกี่ยววัสดุเหลือทิ้งจากการเก็บเกี่ยวหัวมันสำปะหลัง เช่น ใบ นำไปผลิตสินค้าประเภทต่างๆ นอกเหนือจากการขายหัวมันสำปะหลังสด เช่น อาหารสัตว์จากใบมันสำปะหลังอัดเม็ด เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่ง?
*********************************************
ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์ / ข้อมูล : สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร