สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 25, 2022 14:38 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18 - 24 กรกฎาคม 2565

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณ น้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ

โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,713 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,754 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.30

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,048 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,068 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,250 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,590 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,800 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.52

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 847 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,864 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 855 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,821 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.94 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 43 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 410 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,940 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 420 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,140 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.38 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 200 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 413 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,050 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 431 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,537 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.18 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 487 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.4397 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ บังกลาเทศ: ข้าวนึ่งไทยส่งออกฉลุยบังกลาเทศปรับลดภาษีนำเข้าร้อยละ 25

รัฐบาลบังกลาเทศประกาศลดภาษีนำเข้าข้าวนึ่งร้อยละ 25 ให้แก่ภาคเอกชน โดยมี 2 บริษัทผู้ส่งออกข้าวไทยได้รับอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวของกระทรวงการอาหารของบังกลาเทศ

นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 รัฐบาลบังกลาเทศได้ออกประกาศลดหย่อนภาษีนำเข้าและอากรนำเข้าข้าวนึ่งเหลือร้อยละ 25 จากภาษีและอากรนำเข้าเต็มร้อยละ 62.5 หรือลดลงร้อยละ 37.5 โดยมีผลตั้งแต่ 23 มิถุนายน 2565 - 31 ตุลาคม 2565 เนื่องจากปัจจุบันบังกลาเทศกำลังประสบปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 8 ปี และผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม

สำหรับการนำเข้าข้าวของบังกลาเทศจะเป็นการเปิดประมูลให้ภาคเอกชนที่ได้รับการอนุมัติขึ้นทะเบียนจากกระทรวงการอาหารของบังกลาเทศมาเข้าร่วมประมูล ซึ่งล่าสุดในปีงบประมาณ 2565-2567 ของบังกลาเทศ (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 - 30 มิถุนายน 2567) มีบริษัทไทยที่ได้รับการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวของกระทรวงการอาหารบังกลาเทศ จำนวน 2 ราย คือ บริษัท Asia Golden Rice Co., LTD และบริษัท Thai Granlux International Rice Co., Ltd. ที่มีโอกาสเข้าร่วมประมูลข้าวของบังกลาเทศในครั้งนี้

ที่ผ่านมา บังกลาเทศเคยเป็นตลาดนำเข้าข้าวนึ่งที่สำคัญของไทย ดังนั้นการประกาศปรับลดภาษีนำเข้าข้าวนึ่งของบังกลาเทศจึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับข้าวนึ่งไทยที่จะเข้าไปชิงส่วนแบ่งทางการตลาดข้าวนึ่งในบังกลาเทศอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-พฤษภาคม) บังกลาเทศนำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้น

เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยบวกที่สำคัญ อาทิ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงทำให้ราคาข้าวไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ คุณภาพ มาตรฐาน และรสชาติข้าวไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และสถานการณ์ขนส่งทางเรือคลี่คลายลง

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กัมพูชา: กัมพูชาส่งออก ?ข้าว? สู่จีน ครึ่งปีแรกทะลุ 1.68 แสนตัน

รายงานจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมงของกัมพูลา ระบุว่า กัมพูชาส่งออกข้าวขาวไปยังจีนรวม 168,280 ตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจีนยังคงเป็นผู้ซื้อข้าวรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน โดยการส่งออกไปยังจีนนั้นครองสัดส่วนร้อยละ 51.4 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของกัมพูชา

ทรง สราญ ประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) ระบุว่า จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับข้าวกัมพูชา และคาดว่ากัมพูชาจะสามารถส่งออกข้าวไปยังจีนได้มากขึ้นหลังจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565

สราญ เผยว่า ความตกลงจะช่วยทำให้การค้าสินค้าระหว่างกัมพูชาและจีนเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้าร่วมด้วย โดยความตกลงการค้าระดับภูมิภาคขนาดใหญ่นี้ ช่วยให้สินค้าของกัมพูชาสามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น และจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในภาคส่วนต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมข้าวเพื่อส่งออกผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปไปยังกลุ่มประเทศสมาชิกความตกลงฯ ด้วยการลดหย่อนภาษี สราญ ซึ่งเป็นซีอีโอของบริษัท อัมรู ไรซ์ (กัมพูชา) จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันบริษัทส่งออกข้าวขาวไปยังจีน สิงคโปร์ และออสเตรเลียเป็นส่วนใหญ่

รายงานระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กัมพูชาส่งออกข้าวขาวรวม 327,200 ตัน ไปยัง 51 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งในจำนวนนี้ส่งไปยังตลาดยุโรป 98,624 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47

ที่มา: xinhuathai.com

อิหร่าน

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน รายงานว่า ปัจจุบันสถานการณ์ตลาดข้าวในประเทศอิหร่านยังคงอยู่ในภาวะผันผวนซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยพบว่าราคาข้าวในตลาดอิหร่านยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบรายเดือน แม้ว่ารัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงราคาแล้วก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติพบว่า รัฐบาลยังไม่สามารถเข้ามาควบคุมราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดค่อนข้างน้อย ประกอบกับรัฐบาลประสบปัญหาด้านการนนำเข้าข้าว ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องนำข้าวที่เหลือในคลังสำรองออกมาจำหน่ายในราคาถูกเพื่อพยุงราคาข้าวในประเทศ และบรรเทาความเดือนร้อนให้กับผู้มีรายได้น้อย

ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนข้าวและข้าวราคาสูง หลังวันขึ้นปีใหม่ในเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลอิหร่านได้เปิดไฟเขียวให้ภาคเอกชนเป็นผู้จัดหาและนำเข้าข้าวจากต่างประเทศโดยเร่งด่วน เพื่อให้ทันกับเทศกาลมะฮะรัม (พิธีกรรมไว้อาลัยให้กับบุคคลสำคัญทางศาสนาตามความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ใช้เวลานาน ประมาณ 2 เดือน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี) โดยช่วงดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาของปีที่มีการทำบุญบริจาคทานให้กับผู้ยากไร้และผู้ล่วงลับ ส่งผลให้ตลาดผู้บริโภคมีความต้องการข้าวในปริมาณสูง

นาย Masih Keshavarz เลขาธิการสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่าน (Iranian Rice Importers Association) ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นอิหร่าน Tejarat News Agency ว่า ข้าวที่ภาคเอกชนอิหร่านอยู่ระหว่างขั้นตอนการนำเข้านี้ จะเป็นข้าวหอมชั้นหนึ่งและมีคุณภาพสูง เป็นข้าวพันธุ์ Jasmine และ Homali ที่มีคุณสมบัติในแง่ของกลิ่นและรสชาติที่ใกล้เคียงกับข้าวหอมพันธุ์ Tarom ของอิหร่าน ที่ได้รับความนิยมสูงและขึ้นชื่อ โดยข้าวหอมนี้จะจัดส่งถึงอิหร่านในอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้า โดยมีแหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ไทย อินเดีย และปากีสถาน นำเข้าในราคากิโลกรัมละประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับราคาแลกเปลี่ยนในตลาดเสรี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 300,000 เรียล ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะขายให้ผู้บริโภคได้ในราคากิโลกรัมละประมาณ 400,000 เรียล (1.33 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 47 บาทต่อกิโลกรัม)

ทั้งนี้ ในส่วนของนาย Kazem Ali Hasani เลขาธิการสหภาพผู้ค้าส่งอาหารกรุงเตหะราน (Union of Food Wholesalers in Tehran ) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันสหภาพฯ ได้จำหน่ายข้าวขาวของไทย ที่นำเข้าโดยหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือ Government Trading Corporation (GTC ) ในราคากิโลกรัมละ 125,000 เรียล (ประมาณ 15 บาท) หมดลงแล้ว ส่วนข้าวนำเข้าชนิดอื่นๆ ที่คงเหลือในโกดังของรัฐ สหภาพฯ จะนำออกจำหน่ายในราคาประมาณกิโลกรัมละ 240,000 - 370,000 เรียล (ประมาณ 28 - 43 บาท)

จากข้อมูลสถิติของกรมศุลกากรอิหร่าน พบว่าตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นมา (เริ่มวันที่ 21 มีนาคม 2565) อิหร่านนำเข้าข้าวจากต่างประเทศแล้วปริมาณ 390,000 ตัน โดยเป็นการนำเข้าของภาคเอกชนปริมาณ 355,000 ตันและนำเข้าโดยรัฐ (ผ่านบริษัทตัวแทนเอกชน) ปริมาณ 35,000 ตัน ซึ่งปริมาณนำเข้าดังกล่าวยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ เพราะความต้องการข้าวจากต่างประเทศของอิหร่านในความเป็นจริงจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 160,000 ตัน อย่างไรก็ตาม เป็นที่เข้าใจว่าการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยของอิหร่านตามข้อมูลของสมาคมผู้นำเข้าข้าว อิหร่าน น่าจะเป็นการนำเข้าเพื่อรักษาปริมาณสำรองความมั่นคงทางอาหารของอิหร่านเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้นำข้าวที่นำเข้ามาออกจำหน่ายจนหมดแล้ว เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมปริมาณและราคาในตลาด โดยข้าวนำเข้าเหล่านี้รวมถึงข้าวจากไทย จะมีข้อความบนบรรจุภัณฑ์เป็นภาษาท้องถิ่นว่า ?เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมสมดุลในตลาดเท่านั้น?

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้าวสารหรือข้าวหอมที่อิหร่านนำเข้าจากต่างประเทศ จะไม่ถูกนำเข้าในรูปของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในประเทศแหล่งกำเนิด แต่จะมีการบรรจุลงในถุงพลาสติกทึบหนาหรือถุงผ้า ผนึกยี่ห้อของบริษัทผู้นำเข้า และเขียนรายละเอียดเป็นภาษาฟาร์ซีอีกครั้ง อิหร่านนิยมบรรจุข้าวเพื่อจำหน่ายในตลาดในถุงขนาด 10 กิโลกรัม ซึ่งผู้บริโภคจะไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณะเมล็ดข้าว ขนาด สี และสัมผัสได้แต่อย่างใด

อนึ่ง ข้าวหอมมะลิไทยเข้ามาตีตลาดอิหร่านครั้งแรกในปี 2559 ซึ่งเป็นช่วงหลังการบรรลุการเจรจาข้อตกลงแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม (JCPOA) เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ระหว่างประเทศอิหร่านกับประเทศ P5+1

โดยปริมาณการนำเข้าข้าวหอมมะลิในครั้งนั้นมีจำนวนจำกัด และสามารถหาซื้อได้จากร้านค้าเฉพาะหรือสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ภายหลังการคว่ำบาตรรอบใหม่ในปี 2561 ส่งผลให้เศรษฐกิจของอิหร่านถดถอยอย่างต่อเนื่อง และย่ำแย่ลงอย่าเห็นได้ชัด แต่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ราคาข้าวในตลาดอิหร่านได้ทยอยขยับสูงขึ้น

โดยเฉพาะข้าวที่ผลิตได้ในประเทศซึ่งเป็นที่นิยมของคนอิหร่าน และมีราคาแพงมากกว่าข้าวนำเข้าจากต่างประเทศหลายเท่าตัวด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการตรึงราคาข้าวในตลาด รัฐบาลอิหร่านจึงหาแหล่งนำเข้าข้าวที่มีราคาถูกจากต่างประเทศมาเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ เช่น ไทย เป็นต้น โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้นำเข้าข้าวขาวเกรด B แต่ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับข้าวบาสมาติของอินเดีย และปากีสถาน แม้ว่าข้าวไทยจะมีราคาถูกกว่าก็ตาม

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ