สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 26, 2022 14:08 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 19 - 25 กันยายน 2565

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการเกษตร (ข้าวพันธุ์ กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ระบบส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรม และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นแข็ง และพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการส่งเสริมผลักดันการส่งออกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทย เพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

(5) การประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(6) การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อรักษาราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ

โดยให้มีการเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท

คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31 มีนาคม 2565 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2565) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,625 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,635 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.07

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,290 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,163 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.39

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,250 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 30,810 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.43

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 897 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,071 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,029 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.82 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 1,042 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 446 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,443 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 444 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,142 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 301 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 458 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,886 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 459 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,687 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 199 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.8688 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 สถานการณ์ข้าวโลก

1) การผลิต

ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2565/66 ณ เดือนกันยายน 2565 ผลผลิต 507.993 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 515.077 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2564/65 หรือลดลงร้อยละ 1.38

2) การค้าข้าวโลก

บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2565/66 ณ เดือน กันยายน 2565 มีปริมาณผลผลิต 507.993 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 1.38 การใช้ในประเทศ 519.318 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.22 การส่งออก/นำเข้า 53.725 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.97 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 173.563 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 6.13

โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กายานา ปารากวัย ไทย และเวียดนาม ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล กัมพูชา จีน อียู อินเดีย ปากีสถาน ตุรกี และอุรุกวัย

สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไอเวอรี่โคสต์ อียู กานา เม็กซิโก โมซัมบิก เนปาล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน อียิปต์ อิรัก มาลี ฟิลิปปินส์ เซเนกัล และเวียดนาม ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย ไนจีเรีย และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่มี สต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน อินเดีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา

2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย: อคส. ประมูลข้าวสต็อกรัฐ 1.27 แสนตัน ล็อตสุดท้ายแพงสุด 10.20 บาท/กิโลกรัมองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดประมูลข้าวสารสต็อกรัฐล็อตสุดท้าย 1.27 แสนตัน จากทั้งหมด 2.18 แสนตัน เผยขายหมดเกลี้ยง ราคาดี สูงสุดกิโลกรัมละ 10.20 บาท หรือตันละ 10,200 บาท ทำรายได้รวมเกือบ 900 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เปิดเผยว่า อคส. ได้เปิดให้ผู้สนใจยื่นประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาล จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีและนาปรังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเก็บในคลังกลางที่ อคส. ดูแลอยู่ในส่วนที่เหลือล็อตสุดท้ายอีก 218,000 ตัน ซึ่งเป็นข้าวที่ติดปัญหาต่าง ๆ หรือสูญหายไปจากบัญชีแต่เพิ่งแก้ปัญหาได้

โดยเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา อคส. ได้เปิดให้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล และกำหนดเปิดซองเสนอราคาวันเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ข้าวสารในสต็อกรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 นาปี ปี 2555/56 และปี 2556/57 มีทั้งข้าวเหนียว 10% ข้าวขาว 5% ข้าวขาว 10% ปลายข้าวขาวเอวันเลิศ ปริมาณ 114,395 ตัน ทั้งนี้ ยังมีข้าวสารในสต็อกรัฐที่ขายเป็นการทั่วไป เป็นข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปี 2555/56 ปริมาณ 1,627 ตัน และข้าวสารที่โกดังและคลังสินค้าค้างส่งมอบเข้าโกดังกลาง เป็นข้าวหอมมะลิ ข้าวท่อนหอมมะลิ และปลายข้าวขาวเอวันเลิศ ปี 2548/49 และปี 2554/55 ปริมาณ 11,506 ตัน รวมทั้งสิ้น 127,100 ตัน

?ประมูลข้าวล็อตสุดท้ายนี้ มีผู้เสนอซื้อครบทั้ง 127,100 ตัน ถือว่าได้ราคาดีมาก เช่น ข้าวเข้าอุตสาหกรรมราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละ 10.20 บาท หรือตันละ 10,200 บาท น่าจะสูงกว่าที่เคยขายได้ ผู้ซื้อกล่าวว่า ปัจจุบันหาวัตถุดิบมาทำเอทานอลยากมาก โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ส่วนข้าวหอมมะลิราคาสูงถึงตันละ 13,262 บาท และข้าวค้างส่งมอบสูงสุดตันละ 5,580 บาท ซึ่งการขายข้าวครั้งนี้มีรายได้เงินถึง 880 ล้านบาท?

ส่วนข้าวสารที่เหลืออีกกว่า 90,900 ตัน เป็นข้าวที่ยังมีภาระอยู่ เพราะเจ้าของคลังที่ อคส. เช่าฝากเก็บยังยึดหน่วง ไม่ยอมให้ผู้ชนะประมูลในช่วงที่ผ่านมาเข้าไปขนข้าวออกจากโกดัง ทั้งๆ ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับ อคส. ไว้แล้ว

ข้าวที่เกิดความเสียหาย และบริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ และข้าวที่ค้างรับมอบ ซึ่งจะเร่งรัดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบให้เสร็จภายในเดือนกันยายน 2566 สำหรับข้าวที่ถูกยึดหน่วง อคส. ได้ส่งฟ้องร้องเพื่อให้ศาลสั่งให้ปล่อยข้าว รวมถึงได้เร่งรัดให้บริษัทประกันภัยเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมให้ อย่างไรก็ตาม ในการขนย้ายข้าวออกจากโกดัง หากผู้ชนะประมูล พบว่า ข้าวในคลังที่ตนเองซื้อไปมีน้ำหนักไม่ตรงกับบัญชีที่รับข้าวออกจากโกดังตั้งแต่แรก หรือน้ำหนักขาดหายไปเกินอัตรา เผื่อเหลือเผื่อขาดที่กำหนดไม่เกินร้อยละ 1 โกดังและคลังที่ฝากเก็บข้าวจะต้องรับผิดชอบความเสียหาย ไม่เช่นนั้น อคส. ต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อไป

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ รองผู้อำนวยการ อคส. กล่าวว่า ผู้ชนะการประมูลซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐ ทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ข้าวเปลือกและข้าวสารที่โรงสีค้างส่งมอบโกดังกลาง ปี 2548/49 มีผู้ชนะ 1 ราย เสนอซื้อที่ตันละ 2,501 บาท ส่วนปี 2554/55 เป็นรายเดียวกัน ให้ราคาตันละ 5,580 บาท ส่วนการขายเป็นการทั่วไป มีผู้ชนะ 2 ราย โดยรายแรกเสนอซื้อ 1,189 ตัน ให้ราคาตันละ 12,526 บาท รายที่ 2 เสนอซื้อ 438 ตัน ให้ราคาตันละ 13,262 บาท และข้าวสารเข้าสู่อุตสาหกรรม มีผู้ผลิตเอทานอลชนะประมูลทั้งหมด 6 ราย ให้ราคาตั้งแต่ 5,030 - 10,232 บาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 อคส. ได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูล และเชิญมารับฟังรายละเอียดแนวทางปฏิบัติก่อนการทำสัญญา โดยกำหนดทำสัญญาภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก อคส. และผู้ชนะประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลทั้งหมด ก่อนทำสัญญาต้องยินยอมให้ อคส. ตรวจสอบโรงงาน และร่วมวางแผนการผลิต รวมทั้งอนุญาตติดตั้งระบบเทคโนโลยีการควบคุมการตรวจสอบ การผลิต การขนย้ายด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมมาวนขายในตลาดทั่วไปสำหรับคนบริโภค โดย อคส. จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมทางหลวง ตำรวจทางหลวง กรรมการระดับจังหวัด กรมการค้าภายใน กำหนดมาตรการควบคุมการขนย้ายข้าวจากโกดังมายังบริษัท หรือโรงงานของผู้ชนะประมูล เช่น รถบรรทุกต้องติดจีพีเอส โรงงานปลายทางต้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) รวมถึงต้องแจ้งแผนการผลิต การขนย้าย ซึ่งมั่นใจว่ามาตรการนี้จะควบคุม และป้องกันไม่ให้เอาข้าวไปเวียนขายในตลาดปกติได้แน่นอน

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อินเดีย: จับตาผลสะเทือนโลก เมื่ออินเดียคุมเข้มส่งออกข้าว

เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา?อินเดีย? ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นร้อยละ 40 ของปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลก ได้ประกาศคุมเข้มการส่งออกข้าวหลายชนิดโดยกระทรวงการคลังอินเดีย ระบุเหตุผลไว้คลุมเครือเพียงว่า ยังคงมีสภาวะแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้สามารถดำรงชีพได้ ซึ่งตามประกาศดังกล่าว ทางการอินเดียเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นรวดเดียวร้อยละ 20 สำหรับข้าวขาวที่ไม่ผ่านการสี ข้าวกล้อง และข้าวที่ผ่านการสีบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งแทบจะเป็นการยุติการส่งออกโดยปริยาย โดยไม่รวมถึง ?ข้าวบัสมาติ? ซึ่งเป็นข้าวขึ้นชื่อของอินเดียแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นรูปธรรม แต่เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทางการอินเดียเกิดขึ้นเพราะเหตุใดปัญหาของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ?นเรนทรา โมดี? คือ ภาวะเงินเฟ้อที่มีสาเหตุหลักมาจากสงครามในยูเครน และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ระบบซัพพลายเชนมีปัญหา จนก่อให้เกิด ?ความไม่มั่นคงด้านอาหาร? ตามมา?อโศก กุลติ? ศาสตราจารย์ประจำสภาเพื่อการวิจัยเศรษฐสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อธิบายว่า การติดเบรกส่งออกข้าวในครั้งนี้ จะช่วยยับยั้ง ?ภาวะเงินเฟ้อของธัญพืชภายในประเทศ? ไม่ให้ปรับสูงมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ประกอบกับที่ผ่านมา ?อินเดีย? ส่งออกข้าวออกสู่ตลาดประมาณร้อยละ 40 ของข้าวที่ซื้อขายกันทั่วโลก การส่งออกดังกล่าวเกิดขึ้นได้ เพราะรัฐบาลช่วยจัดสรรงบประมาณอุดหนุนราคาพลังงานและปุ๋ย เพื่อให้อินเดียยังคงขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ คราวนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะดึงราคาข้าวในตลาดโลกให้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อ ?ถอนทุนคืน? ในส่วนของการอุดหนุนดังกล่าว

ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ปีนี้อินเดียประสบปัญหาดินฟ้าอากาศ ฝนตกไม่สม่ำเสมอ บางครั้งตกหนักจนก่อให้เกิดความเสียหาย บางครั้งเกิดฝนทิ้งช่วงซึ่งเป็นปัญหาสำหรับการเพาะปลูกของเกษตรกร รวมทั้งเกิดความกังวลว่า ผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกในฤดูกาลนี้จะลดลงกว่าฤดูกาลปกติ จนอาจก่อให้เกิดปัญหาราคาธัญพืชและสินค้าอาหารอื่นๆ ในประเทศปรับสูงขึ้นได้ ขณะเดียวกับที่ราคาสินค้าอาหารนำเข้าก็ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน

ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของอินเดียอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารกลางอินเดียที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 4 - 6 แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งแล้วก็ตามที่ผ่านมา ?รัฐบาลอินเดีย? เคยใช้วิธีห้ามการส่งออกข้าวสาลีและน้ำตาลมาแล้ว แต่ยังชะลอการดำเนินการแบบเดียวกับข้าวออกไปก่อน ส่วนหนึ่งเพราะราคาข้าวในประเทศไม่ได้ปรับสูงอย่างรวดเร็วเหมือนข้าวสาลีและน้ำตาล

ในปีงบประมาณ 2563 - 2564 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีสถิติ อินเดียส่งออกข้าวมูลค่าประมาณ 8,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับข้าวทั่วไปที่ไม่ใช่ข้าวบัสมาติของอินเดีย คือ เนปาล บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิรัก มาเลเซีย และแอฟริกาตะวันตกผู้สันทัดกรณีในแวดวงค้าข้าวเชื่อว่า การควบคุมส่งออกข้าวของอินเดียครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกรองลงมาอย่างไทยกับเวียดนาม ที่น่าจะขยับการส่งออกแทนที่อินเดียในตลาดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผลสะกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมากับตลาดข้าวของโลก คือ ราคาข้าวจะปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน แม้ว่าตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคาข้าวแทบทุกชนิดจะปรับลดลงมาบ้างแล้ว

ในด้านของประเทศผู้บริโภค ราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจกลายเป็นปัญหาอีกระลอก ที่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อของสินค้าอาหาร ขณะที่ราคาพลังงานยังคงกดดันอย่างมากและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศ เมื่อการจัดสรรงบประมาณสำหรับสินค้าอาหารจำเป็นต้องเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลของสหประชาชาติแสดงให้เห็นว่า วิกฤตพลังงานและอาหารกำลังก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้นกับหลายประเทศ ถึงขนาดต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาชำระหนี้ให้ได้ตรงตามกำหนดเวลา และกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศที่สหประชาชาติจัดว่ายากจนที่สุด ตกอยู่ในสถานการณ์หนี้ หรือไม่ก็กำลังเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดปัญหาหนี้ขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งครัวเรือนจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับซื้อหาอาหารประทังชีวิต คิดเป็นร้อยละ 42 ของรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือนนั่นเอง

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กัมพูชา: กัมพูชาเผยรายได้ส่งออกยางพาราและข้าว ในช่วง 8 เดือนแรก แตะ 544 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กรมยางพาราของกัมพูชาเปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 กัมพูชามีรายได้จากการส่งออกยางพาราแห้งและข้าวขาว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพของประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวม 544.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

รายงานระบุว่า กัมพูชาส่งออกยางพาราแห้ง ช่วงเดือนมกราคม - สิงหาคม รวม 194,014 ตัน มูลค่า 301.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2564 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับปี 2563 ฮิม อึน อธิบดีกรมฯ ระบุว่า ยางแห้ง 1 ตัน มีราคาเฉลี่ย 1,553 ดอลลาร์ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 ราคาต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2564 ประมาณ 119 ดอลลาร์สหรัฐฯ สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) เปิดเผยว่า กัมพูชาส่งออกข้าวขาวไปยัง 56 ประเทศ และภูมิภาค ปริมาณรวม 389,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 เมื่อเทียบกับปี 2564 และทำรายได้ทั้งหมด 242.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แปน โสวิเชต โฆษกและปลัดกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา ระบุว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้แล้วในช่วงที่ผ่านมาของปี 2565 ส่งผลให้สถิติการส่งออกขยายตัวในช่วงเวลาดังกล่าว โสวิเชตกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า ?RCEP มีส่วนกระตุ้นการส่งออกของกัมพูชาให้เติบโตในระยะยาวต่อไป ซึ่ง RCEP ทำให้เข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะสำหรับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพของกัมพูชา?

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ