สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 3, 2023 14:56 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 26 ธันวาคม 2565 - 1 มกราคม 2566

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2565/66 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มีนาคม 2566 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,892 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,947 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.42

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,169 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,099 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.77

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 29,550 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.3892 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ยูกันดา: ยกเลิกภาษีนำเข้าข้าวจากแทนซาเนีย อุปสรรคใหม่ของไทยในการส่งออกข้าวมาแอฟริกาตะวันออกรัฐบาลยูกันดายกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับข้าวที่นำเข้าจากประเทศแทนซาเนีย หลังจากที่ประธานาธิบดี ของประเทศยูกันดา นาย โยเวรี มูเซเวนี ยื่นอุทธรณ์ต่อประเทศสมาชิกประชาคมแอฟริกาตะวันออก (AEC) ทั้ง 7 ประเทศ ให้ขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีทั้งหมด (non-tariff barriers) พร้อมทั้งแสดงความเห็นว่า อุปสรรคเหล่านี้ขัดขวางการรวมตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

โดยใจความสำคัญในหนังสือที่ส่งถึงเจ้าหน้าที่ศุลกากร ของหน่วยงานสรรพากรยูกันดากล่าวว่า ข้าวทั้งหมดที่มีต้นกำเนิดจากสาธารณรัฐแทนซาเนียและมีใบรับรองแหล่งกำเนิดตามการปฏิบัติพิเศษจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 0 ตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม กล่าวคือ ให้ยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่ม 180,000 ยูกันดาชิลลิ่ง (47 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อข้าว หนึ่งตัน อีกทั้งคณะกรรมการด้านการท่องเที่ยว การค้าและอุตสาหกรรม (The Parliamentary Committee on Tourism, Trade and Industry) ยังเสนอให้มูลนิธิเพื่อการพัฒนาข้าวและธุรกิจการเกษตรหยุดเก็บเงินจากผู้ค้าข้าวตามจุดการค้าชายแดนต่างๆ นอกจากการร้องขอให้หยุดเก็บเงินจากผู้ค้าแล้ว ยังเรียกร้องให้ส่งคืนเงินจำนวน 17 พันล้านยูกันดาชิลลิ่งที่ได้เรียกเก็บไปก่อนหน้านี้อีกด้วย

ตามสถิติของกระทรวงพาณิชย์และการค้าของยูกันดา พบว่า ชาวยูกันดาบริโภคข้าวประมาณ 300,000 ตันต่อปี และข้าวส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าจากปากีสถานและแทนซาเนีย ซึ่งยูกันดาจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศสมาชิกประชาคมแอฟริกาตะวันออกทั้งหมดต้องไฟเขียวให้เกิดการค้าเสรีในภูมิภาคนี้อย่างจริงจังความเห็นของ สคต. การยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มของยูกานดาในการนำเข้าข้าวจากแทนซาเนีย ถือเป็นมาตรการล่าสุดที่ยูกานดานำร่องในการลดภาษีของการค้าระหว่างกลุ่มประเทศในแอฟริกาตะวันออกที่มีการรวมกลุ่มกันภายใต้เขตการค้าเสรีแอฟริกาตะวันออก (East African Community : EAC) ซึ่งถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งในการพัฒนาเขตการค้าเสรีดังกล่าวให้มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน ที่ยังคงมีการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายการค้าในกลุ่มการค้าดังกล่าว สำหรับประเทศไทย นั้น แม้ประเทศยูกานดาไม่ใช่ตลาดส่งออกข้าวของไทยที่สำคัญในแอฟริกา แต่การออกมาตรการดังกล่าว มีผลกระทบโดยตรงต่อการนำเข้าข้าวของไทยมายังตลาดดังกล่าว ประการแรก การยกเลิกภาษีข้างต้นส่งสัญญาณว่า ข้าวในแอฟริกาตะวันออกจะมีราคาถูกลงต่อผู้บริโภคและมีความสามารถในการแข่งขันต่อข้าวนำเข้าจากปากีสถาน อินเดีย หรือแม้กระทั่งข้าวของไทยมากขึ้น นอกจากนั้น

หากแทนซาเนียซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ในแอฟริกาตะวันออกสามารถมีผลผลิตในการส่งออกได้มากขึ้นแล้วก็จะยิ่งกระทบและแย่งส่วนแบ่งการตลาดของการส่งออกข้าวไทยให้ลดลงได้ในอนาคต ซึ่งผู้ส่งออกไทยควรเร่งขยายตลาดไปที่ประเทศอื่น เพื่อทดแทนการส่งออกข้าวมายังตลาดแอฟริกาตะวันออกให้มากขึ้น เช่น ขยายการส่งออกไปแอฟริกาตะวันตก เป็นต้น นอกจากนั้น อาจรวมถึงการหาพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีต้นทุนลดลงกว่าข้าวพันธุ์เดิมที่เริ่มมีปัญหาในการทำตลาดส่งออกกว่าคู่แข่งตามที่ประสบปัญหาดังกล่าวรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่การส่งออกข้าวของไทยในตลาดแอฟริกาตะวันออกมีมูลค่าลดลงตามลำดับ โดยตลาดส่งออกสำคัญในแอฟริกาตะวันออกปัจจุบัน ได้แก่ เคนยา และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ