สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 13, 2023 13:25 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 6 - 12 กุมภาพันธ์ 2566

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2565/66 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มีนาคม 2566 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,276 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,379 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.77

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,652 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,655 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.03

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 30,170 บาท ราคาลดลงจากตันละ 31,050 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.83

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,190 บาท ราคาลดลงจากตันละ 15,410 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.43

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 873 ดอลลาร์สหรัฐฯ (29,080 บาท/ตัน) ราคาลดลง

จากตันละ 888 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,926 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.69 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 154 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,722 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละตันละ 511 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,645 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.76 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 77 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,822 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 514 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,743 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 79 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.3109 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะการค้าข้าวทรงตัวหลังจากผ่านช่วงเทศกาลตรุษเวียดนาม (Tet) ซึ่งมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 445-450 ดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะอุปทานข้าวในตลาดยังคงมีปริมาณค่อนข้างต่ำ ขณะที่ผู้ส่งออกต่างเร่งหาซื้อข้าวเพื่อเตรียมไว้สำหรับสัญญาส่งมอบฉบับใหม่

ข้อมูลเบื้องต้นในช่วงเดือนมกราคม 2566 มีการส่งออกข้าวประมาณ 400,000 ตัน ลดลงประมาณร้อยละ 20.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2566 มีเรือเข้าเทียบท่าเรือของเวียดนามจำนวน 35 ลำ เพื่อรับมอบข้าวทุกชนิดประมาณ 197,230 ตัน โดย 29 ลำ เข้าเทียบท่าเรือโฮจิมินห์ และ 6 ลำ ที่ท่าเรือ M? Th?i โดยส่งไปยังปลายทางที่ฟิลิปปินส์ รวม 96,430 ตัน และอินโดนีเซีย รวม 100,800 ตัน

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สมาคมอาหารแห่งเวียดนาม (the Vietnam Food Association; VFA) คาดการณ์การส่งออกข้าว ปี 2566 มีแนวโน้มเติบโต ขณะที่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่ผันผวน ทำให้ความต้องการข้าวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม 2566 เวียดนามส่งออกข้าวแล้วประมาณ 226,000 ตัน มูลค่ากว่า 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยสายพันธุ์ข้าวในเวียดนามมากกว่าร้อยละ 80เป็นข้าวหอมคุณภาพสูง ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่เพิ่มมูลค่าและการเข้าถึงตลาดต่างๆ ของเวียดนาม โดยเวียดนามมีการส่งออกข้าวหอมพันธุ์ ST24 และ ST25 ไปยังตลาดตะวันออกกลาง ในระดับราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน ราคาส่งออกข้าวเวียดนามยังมีแนวโน้มสูงขึ้นและกลับสู่ระดับที่เคยสูงสุด ในปี 2562 ตามความต้องการข้าวสำรองที่เพิ่มขึ้นจากหลากหลายประเทศด้วย นอกจากนี้ เวียดนามยังใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ทำไว้กับหลายประเทศ เพื่อขยายการส่งออกข้าวของเวียดนามด้วย โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (the EU?Vietnam Free Trade Agreement (EVFTA)) ซึ่งช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันกับข้าวจากประเทศกัมพูชาและเมียนมาในตลาดสหภาพยุโรปได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เวียดนามเสียเปรียบทั้งสองประเทศ ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากสหภาพยุโรปมาหลายปี

จากรายงานโดยกลุ่มนักวิเคราะห์ที่แผนกหลักทรัพย์ (BIDV Securities Company (BSC)) ของธนาคารเพื่อการลงทุนและการพัฒนาแห่งเวียดนาม ระบุว่า สภาพอากาศที่แปรปรวนในหลายประเทศอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานอาหารโลก ซึ่งกระตุ้นการนำเข้าข้าวจากจีน และลดการส่งออกจากกลุ่มประเทศผู้ปลูกข้าวรายใหญ่อย่างอินเดีย และปากีสถาน

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (the Ministry of Agriculture and Rural Development (MARD)) กำหนดแผนการผลิตข้าวคุณภาพสูงในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง (The Mekong Delta) ให้ได้ประมาณ 7.7 ล้านตันต่อปีบนพื้นที่ประมาณ 6.25 ล้านไร่ ภายในปี 2573 โดยกระทรวงได้เรียกร้องให้จังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ร่วมมือกันผลิตข้าวให้ได้ตามเป้าที่วางไว้

ทั้งนี้ ตามแผนที่วางไว้ภายในปี 2568 พื้นที่เพาะปลูกข้าวคุณภาพสูงในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงกำหนดไว้ที่ประมาณ 3.125 ล้านไร่ และได้ผลผลิตประมาณ 3.8 ล้านตัน ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้เกษตรกรมีกำไรประมาณร้อยละ 35 โดยจะต้องลดการใช้ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และการใช้น้ำลงอย่างละประมาณร้อยละ 30

กระทรวงฯ ตั้งเป้าพื้นที่ปลูกข้าวประมาณร้อยละ 80 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (the Good Agricultural Practices; GAP) เกษตรกรประมาณร้อยละ 20 สามารถใช้เทคโนโลยีในการทำนาและ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตรประมาณร้อยละ 10 ซึ่งแผนดังกล่าวยังรวมถึงหลักเกณฑ์สำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและข้อกำหนดสำหรับสหกรณ์ที่ต้องการเข้าร่วมด้วย

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

กัมพูชา

สมาพันธ์ข้าวกัมพูชา (The Cambodia Rice Federation; CRF) ตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวสารอย่างน้อย 1 ล้านตัน ภายในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับตัวเลขการส่งออกในปี 2565 และปี 2566 กัมพูชาตั้งเป้าที่จะส่งออกข้าวสารให้ได้ 750,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออก 637,004 ตันในปี 2565

นาย Chan Sokkheang ประธานสมาพันธ์ข้าวกัมพูชากล่าวว่า สมาพันธ์ข้าวกัมพูชากำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ 2 ข้อ คือ ภายในปี 2566 จะเพิ่มการส่งออกเป็น 750,000 ตัน และแตะ 1 ล้านตัน ภายในปี 2568 นอกจากนี้ CRF ยังตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมธุรกิจข้าวที่ทำกำไรได้ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมสำคัญๆ มากมาย

สมาพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) จะยังคงร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ the Ministry of Commerce ผ่านบริษัท Green Trade เพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ และขยายศักยภาพทางการตลาดด้วยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในตะวันออกกลาง และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ CRF จะยังคงเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มการส่งออกข้าวสารไปยังประเทศจีนให้มากกว่าโควตาที่กำหนดไว้ที่ 400,000 ตัน ในปี 2566

ในปี 2565 กัมพูชาส่งออกข้าวสารจำนวน 637,004 ตัน ไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 จาก 617,069 ตัน ในปี 2564 สร้างรายได้ประมาณ 414 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกสินค้าไปยัง 59 ประเทศและภูมิภาคในปี 2565 โดยจีนยังคงเป็นผู้ซื้อข้าวสารรายใหญ่อันดับหนึ่งของกัมพูชา และพันธุ์ข้าวที่ส่งออก ได้แก่ ข้าวหอมระดับพรีเมียม ข้าวหอม ข้าวขาวเมล็ดยาว ข้าวนึ่ง ข้าวอินทรีย์ และข้าวเหนียว

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สาม (ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564) เนื่องจากความต้องการข้าวจากผู้ซื้อต่างประเทศยังคงมีมาก ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดมีปริมาณจำกัด โดยราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ตันละ 393-398 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงขึ้นจากตันละ 387- 395 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการค้าระบุว่า ในปี 2565 รัฐบาลได้เร่งรับซื้อข้าวจากเกษตรกร และสามารถจัดหาข้าวได้มากเป็นประวัติการณ์ ทำให้อุปทานข้าวในตลาดมีน้อยลง

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า การส่งออกข้าวของอินเดีย ในปี 2565 ปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์แม้ว่ารัฐบาลจะควบคุมการขายข้าวไปต่างประเทศ เนื่องจากผู้ซื้อยังคงซื้อข้าวจากอินเดีย เพราะราคาที่ต่ำกว่าประเทศผู้ส่งออกรายอื่นๆ ซึ่งการส่งออกมากเป็นประวัติการณ์นี้ เป็นผลมาจากประเทศในแถบเอเชียและแอฟริกาได้เร่งนำเข้าข้าวในช่วงที่ข้าวสาลีและธัญพืชอื่นๆ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายน 2565 รัฐบาลอินเดียได้ออกมาตรการห้ามส่งออกข้าวหักและเก็บภาษีส่งออกข้าวขาว (ยกเว้นข้าวนึ่งและข้าวบาสมาติ) ในอัตราร้อยละ 20 เนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงจากอิทธิพลของลมมรสุมที่แปรปรวนที่ส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลง

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ระบุว่า การส่งออกข้าวของอินเดียในปี 2565 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.5 จากปี 2564 เป็น 22.26 ล้านตัน หรือมากกว่าการส่งออกรวมกันของผู้ส่งออกข้าว 4 ราย รองจากอินเดีย ได้แก่ ไทย เวียดนาม ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา โดยการส่งออกข้าวของอินเดียลดลงหลังจากรัฐบาลกำหนดมาตรการเก็บภาษีส่งออกแต่สามารถฟื้นตัวได้ในไม่ช้า โดยในช่วงเดือนธันวาคม 2565 อินเดียสามารถส่งออกได้มากกว่า 2 ล้านตัน ส่งผลให้ในปี 2565 ปริมาณส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ (non-basmati rice) อยู่ที่ประมาณ 17.86 ล้านตัน ขณะที่ ข้าวบาสมาติระดับพรีเมียม (premium basmati rice) อยู่ที่ประมาณ 4.4 ล้านตัน

โดยตลาดหลักของข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ ได้แก่ ประเทศในแถบแอฟริกาและเอเชีย ในขณะที่ตลาดหลักของข้าวบาสมาติ ได้แก่ ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และอังกฤษนาย Nitin Gupta รองประธานฝ่ายธุรกิจข้าวของ Olam India กล่าวว่า การกำหนดภาษีส่งออกสำหรับข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ ทำให้ราคาข้าวปรับสูงขึ้น แต่ผู้ซื้อได้กลับมาซื้อในไม่ช้า เนื่องจากราคาข้าวของไทยและเวียดนามอยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าอินเดีย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การส่งออกของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่งในปี 2566ผู้ค้ารายหนึ่งกล่าวว่า อินเดียเสนอขายข้าวขาว 25% ในราคาประมาณตันละ 430 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ เวียดนามเสนอขายที่ราคาประมาณตันละ 440 ดอลลาร์สหรัฐฯ และไทยอยู่ที่ประมาณตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่นาย B.V. Krishna Rao ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวแห่งอินเดีย (Rice Exporters Association of India) กล่าวว่า แม้จะมีการส่งออกที่สูงขึ้น แต่อินเดียก็มีสต็อกในประเทศเพียงพอ กระทรวงเกษตรฯ (the Ministry of Agriculture and Farmers? Welfare (MOAFW)) รายงานว่า ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เกษตรกรเพาะปลูกข้าวฤดูการผลิตรองหรือ Rabi crop แล้วประมาณ 28.9 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับจำนวน 21.9 ล้านไร่ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ฤดูการผลิตรอง หรือ Rabi crop ของอินเดียจะเริ่มการหว่านเมล็ดในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน และเก็บเกี่ยวในเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

จีน

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ระบุในรายงานว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) จะเริ่มการประมูลข้าวเก่าเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์อีกครั้ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นไป เพื่อหมุนเวียนข้าวเก่าออก จัดหาทางเลือกธัญพืช และ บรรเทาราคาธัญพืชอาหารสัตว์ที่ปรับสูงขึ้น โดยปริมาณข้าวในสต็อกเก่าที่มีข่าวลือว่าจะเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านตัน ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เสนอในปี 2564 และ 2565 ขณะที่แหล่งข่าวรายงานว่า ปริมาณสำรองข้าวเก่าในสต็อกลดน้อยลงในปี 2565 เนื่องจากมีข้าวเก่าถูกประมูลออกไปเพื่อที่จะคลายแรงกดดันต่อราคาข้าวโพดและนำสต็อกข้าวใหม่เข้ามาแทนที่

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ