สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 3, 2023 13:43 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 27 มีนาคม - 2 เมษายน 2566

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ประกอบด้วย3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2565/66 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มีนาคม 2566 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,410 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,363 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,763 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,704 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.61

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 30,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,150 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,830 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.16

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 837 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,452 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้น

จากตันละ 835 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,335 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 117 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,656 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 477 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,187 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.73 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 469 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 493 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,758 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 480 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,289 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.71 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 469 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.9924 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

อินโดนีเซีย

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า หน่วยงาน Bulog (the State Logistics Agency) มีแผนที่จะนำเข้าข้าว จำนวนประมาณ 2 ล้านตัน ไปจนถึงเดือนธันวาคมของปี 2566 ซึ่งนาย Awaluddin Iqbal เลขานุการของ Bulog (Bulog's corporate secretary) กล่าวว่า ในระยะแรกจะมีการนำเข้าข้าว จำนวน 500,000 ตัน

ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากสต็อกสำรองของประเทศ (government rice reserves (CBP)) มีปริมาณลดลงจากช่วงต้นปี 2565 ที่มีจำนวนประมาณ 1 ล้านตัน ลดลงเหลือประมาณ 230,000 ตัน ในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ปลอดภัยที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 1.5 ล้านตัน

ขณะที่สำนักงานอาหารแห่งชาติ (The National Food Agency; NFA or Bapanas) ระบุว่า อุปทานข้าวที่จำเป็นสำหรับการแจกจ่ายเพื่อช่วยเหลือสังคมต้องมีจำนวน 640,000 ตัน สำหรับครัวเรือนมากกว่า 21,000 ครัวเรือนซึ่งระดับสต็อกในปัจจุบันถือว่ามีไม่เพียงพอ เนื่องจากสต็อกสำรอง (CBP) ของ Bulog มีเพียงประมาณ 220,000 ตันเท่านั้น

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าว The Jakarta Post รายงานว่า กระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย (Indonesia's Trade Ministry) กำลังวางแผนที่จะนำเข้าข้าวอีก 500,000 ตัน ในปี 2566 เพื่อให้เพียงพอกับปริมาณสำรองข้าวของรัฐบาลที่ลดลงหลังจากที่เมื่อปลายปีที่แล้วรัฐบาลได้นำเข้าข้าวจำนวน 500,000 ตัน จากเวียดนาม ไทย และปากีสถานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้ากล่าวว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องการนำเข้ามากขึ้น เนื่องจากสต็อกข้าวของหน่วยงาน Bulog (the State Logistics Agency) มีปริมาณลดลงเหลือหนึ่งในสี่ของปริมาณสำรองขั้นต่ำ(the required minimum reserves) ที่กำหนดที่ 1.2 ล้านตัน ขณะที่นาย Zulkifli Hasan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลจะไม่นำเข้าข้าวในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าวใกล้จะมาถึงแล้ว ซึ่งการนำเข้าข้าวต่างประเทศอาจส่งผลกระทบต่อราคาในประเทศ

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลดลงท่ามกลางภาวะความต้องการข้าวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบแอฟริกาที่ลดลง ขณะที่ผู้ซื้อบางส่วนชะลอการซื้อข้าวออกไปก่อนเพื่อรอดูภาวะราคาข้าวที่คาดว่าจะปรับลดลงอีก ส่งผลให้ราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ตันละ 380-385 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เป็นราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2566) ลดลงจากตันละ 382-387 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนผู้ส่งออกรายหนึ่งที่เมือง Kakinada ทางตอนใต้ของรัฐ Andhra Pradesh กล่าวว่า ราคาข้าวของอินเดียได้ปรับฐานลดลงประมาณตันละ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าเกษตรทั้งหมดก็ปรับตัวลดลง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาด้วย ซึ่งทำให้ผู้ซื้อบางส่วนกำลังรอดูว่าราคาข้าวจะปรับลดลงอีกหรือไม่

สำนักข่าว The Hindu Businessline รายงานว่า รัฐบาลอินเดียได้พิจารณาอนุญาตให้มีการส่งออกข้าวหักจำนวน 350,000 ตัน ไปยังประเทศแกมเบียและเซเนกัลได้ ตามคำร้องขอของผู้ส่งออกข้าวที่ต้องการส่งออกข้าวหักไปยังประเทศแกมเบีย จำนวน 100,000 ตัน และประเทศเซเนกัล จำนวน 250,000 ตัน นอกจากนี้รัฐบาลยังอนุญาตให้ส่งออกข้าวหัก จำนวน 9,990 ตัน ไปยังประเทศจิบูติ และเอธิโอเปีย

สำหรับการส่งออกไปยังประเทศแกมเบีย นั้น รัฐบาลได้อนุญาตให้บริษัท Royal Mirage Consultant ส่งออกจำนวน 5,000 ตัน บริษัท Sarala Food Pvt Ltd จำนวน 12,500 ตัน และ บริษัท Laxmi Group of Industries Pvt Ltd จำนวน 2,000 ตัน ส่วนการส่งออกไปยังประเทศเซเนกัล นั้น รัฐบาลได้อนุญาตให้บริษัท Sarala Foods, Sri Chitra Exports, Manasa Quality Enterprises Ltd., Pattabhi Agro Foods Pvt. Ltd., และ CLRK Industries Pvt. Ltd. ส่งออกได้รายละ 22,500 ตัน รวมเป็น 112,500 ตัน การส่งออกปลายข้าว จำนวน 9,990 ตัน ไปยังประเทศจิบูตี และเอธิโอเปีย นั้น จะดำเนินการโดยบริษัท Ruby Overseas ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเจนไน

ขณะที่ นักวิเคราะห์ในวงการค้า ระบุว่า การส่งออกไปยังประเทศแกมเบีย เซเนกัล และจิบูตี ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์ (the Commerce Ministry) ตามคำขอจากกระทรวงการต่างประเทศ (the Ministry of External Affairs) ซึ่งการส่งออกในครั้งนี้ได้รับการอนุญาตด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์และการที่มีกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง

สำนักข่าว The Hindu Businessline ยังได้รายงานว่า รัฐบาลอียิปต์เตรียมที่จะทำการค้าในรูปของสกุลเงินท้องถิ่น เพื่อลดปัญหาในการชำระเงินด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอียิปต์กำลังมองหาที่จะนำเข้าข้าวอย่างน้อย 150,000 ตัน จากอินเดียผ่านช่องทางการค้าในรูปของเงินสกุลรูปี เนื่องจากอียิปต์กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการชำระเงินด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์จะออกนามกล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ อียิปต์ซื้อข้าวจำนวน 2 ลำเรือ โดยชำระเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ต้องประสบปัญหาอย่างมากในการชำระเงิน และยังระบุว่าขณะนี้อียิปต์ต้องการซื้อข้าวอีก 6 ลำเรือ ซึ่งรวมได้ประมาณ 150,000 ตัน และมีความพยายามที่จะชำระเงินด้วยสกุลเงินรูปีของอินเดีย

ทั้งนี้ ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีอย่างน้อย 19 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รัสเซีย สิงคโปร์ เยอรมนี นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ได้ตกลงที่จะทำการซื้อขายสินค้าในรูปของเงินสกุลรูปี และเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับรูปแบบการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (the cross-border transaction mode)ซึ่งเกี่ยวกับกรณีนี้นาย BV Krishna Rao ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวอินเดีย (The Rice Exporters Association (TREA)) กล่าวว่า ผู้ส่งออกยินดีที่จะรับคำสั่งซื้อในรูปของเงินสกุลรูปีหากรัฐบาลเข้ามาช่วยดูแล ทั้งนี้ เนื่องจากการซื้อขายสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผู้ส่งออกจะมีค่า forward premium ในอัตราร้อยละ 0.5-1 ซึ่งมีหลายวิธีที่รัฐบาลสามารถชดเชยให้กับผู้ค้าในเรื่องนี้ได้

อย่างไรก็ตาม นาย Rao กล่าวว่า รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมการส่งออกในรูปสกุลเงินรูปีเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว ทางด้านนักวิเคราะห์การค้ากล่าวว่า รัฐบาลควรอนุญาตให้มีการค้าข้าวในรูปของสกุลเงินรูปีของอินเดียเพื่อสนับสนุนให้มีการค้ากับอียิปต์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับอินเดียมายาวนาน และไม่ใช่เฉพาะอียิปต์เท่านั้นแต่ประเทศในแอฟริกาเหนือทั้งหมดกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า อียิปต์ได้ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ประเทศอียิปต์ได้เริ่มติดต่อการค้ากับประเทศรัสเซียในรูปของสกุลเงินท้องถิ่น และวางแผนที่จะผูกมัดกับอินเดียและจีนในเรื่องนี้ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดเงินได้อย่างน้อย 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการซื้อขายดังกล่าวกับอินเดีย จีน และรัสเซีย

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า จากการที่ฝนตกไม่เป็นไปตามฤดูกาลและพายุลูกเห็บในหลายพื้นที่ทางตอนเหนือของอินเดีย เช่น รัฐปัญจาบ รัฐอุตตรประเทศ รัฐหรยาณา รวมถึงตอนกลางของรัฐมัธยประเทศสร้างความเสียหายต่อพืชผลที่เพาะปลูกในช่วงฤดูหนาว (winter-sown crops) ที่ผ่านมาทั้งนี้ ผลผลิตข้าวสาลีของอินเดียถูกภัยธรรมชาติคุกคามเป็นปีที่สองติดต่อกัน เนื่องจากฝนที่ตกหนักในรัฐที่ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อพืชผลที่กำลังใกล้เข้าสู่ระยะเก็บเกี่ยว คาดว่าจะทำให้ผลผลิตลดลงและทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้จากปริมาณผลผลิตที่ลดลง

นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศที่อุณหภูมิปรับสูงขึ้นกะทันหัน ซึ่งกระทบกับต้นข้าวสาลีเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา และตามมาด้วยฝนที่ตกลงมาทำให้เกิดน้ำท่วม ส่งผลให้ลำต้นพืชล้มอย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่ผ่านมา การผลิตข้าวสาลีของอินเดียได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะคลื่นความร้อน ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการห้ามการส่งออกข้าวสาลีเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีผลผลิตเพียงพอในท้องถิ่นและราคามีเสถียรภาพ ขณะที่พืชผลฤดูหนาวอื่นๆ เช่น ถั่วชิกพี ก็ได้รับผลกระทบจากฝนและพายุลูกเห็บเช่นกัน ซึ่งหน่วยงานของรัฐบาลกำลังประเมินผลกระทบที่มีต่อพืชผลในฤดูหนาว

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ปากีสถาน

สำนักข่าว Dawn รายงานโดยอ้างข้อมูลที่รวบรวมโดยธนาคารแห่งรัฐของปากีสถาน (the State Bank of Pakistan) ว่า การส่งออกของปากีสถานไปยังตลาดตะวันออกกลางในช่วง 8 เดือนแรก (เดือนกรกฎาคม 2565- กุมภาพันธ์ 2566) ของปีงบประมาณ 2022/23 (กรกฎาคม 2022-มิถุนายน 2023) มีมูลค่าประมาณ 1.491 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงประมาณร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลดลงอย่างมาก ซึ่งการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีมูลค่าประมาณ 945 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงประมาณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การส่งออกของปากีสถานไปยังตลาดตะวันออกกลางมีแนวโน้มที่หลากหลาย โดยมีการส่งออกไปยังซาอุดิอาระเบียและบาห์เรนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ส่งไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคลดลง เช่น กาตาร์ เป็นต้น

โครงการอาหารโลก (the World Food Program; WFP) รายงานว่า ในเดือนมกราคม 2566 ราคาข้าวบาสมาติของปากีสถานเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 16.3 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 14.6 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และเมื่อเทียบรายปีราคาข้าวบาสมาติของปากีสถานและราคา ข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 53 และร้อยละ 61 ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา (เดือนมิถุนายน 2565) ราคาข้าวบาสมาติและข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติของปากีสถานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45 และร้อยละ 68 ตามลำดับ

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาข้าวเป็นผลมาจากผลกระทบของอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม 2565 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผลผลิตข้าวเป็นจำนวนมาก

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ