สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 24, 2023 15:19 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 17 - 23 เมษายน 2566

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ประกอบด้วย3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2565/66 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มีนาคม 2566 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,408 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,344 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.48

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,923 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,782 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.44

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 30,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,300 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 834 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,454 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 848 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,755 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.65 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 301 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,991 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,124 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.39 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 133 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 503 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,161 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 511 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,328 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.57 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 167 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.1175 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 สถานการณ์ข้าวโลก

1) การผลิต

ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2565/66 ณ เดือนเมษายน 2566 ผลผลิต 509.830 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 509.419 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2564/65 หรือลดลงร้อยละ 0.86

2) การค้าข้าวโลก

บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2565/66 ณ เดือนเมษายน 2566 มีปริมาณผลผลิต 509.419 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.86 การใช้ในประเทศ 520.048 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.17 การส่งออก/นำเข้า 55.913 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 0.43 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 171.370 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2564/65 ร้อยละ 5.84

  • ประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย เมียนมา จีน กายานา อินเดีย ไทย ตุรกี และเวียดนาม ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล สหภาพยุโรป ปากีสถาน ปารากวัย อุรุกวัย และสหรัฐอเมริกา
  • ประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ บราซิล สหภาพยุโรป กานา อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก โมซัมบิก เนปาล แอฟริกาใต้ และสหราชอาณาจักร ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ แองโกลา บังกลาเทศ จีน ไอเวอรี่โคสต์ กินี อิหร่าน อิรัก ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ เซเนกัล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา
  • ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศ ส่วนประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน อินเดีย ไทย ไนจีเรีย และสหรัฐอเมริกา

2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวทรงตัวในระดับสูง หลังจากมีข่าวว่าอินโดนีเซียจะนำเข้าข้าวประมาณ 2 ล้านตัน ในปี 2566 ขณะที่อุปทานข้าวในตลาดมีจำกัด แม้เพิ่งจะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ(the winter-spring crop) ออกสู่ตลาดแล้วก็ตาม โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 460 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้าสื่อของรัฐอ้างการให้สัมภาษณ์ของนาย Nguyen Ngoc Nam ประธานสมาคมอาหารเวียดนามว่า ราคาข้าวยังคงระดับสูงอยู่ในระยะสั้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ เพิ่มปริมาณอาหารสำรองวงการค้าข้าวเวียดนามคาดว่า ในปี 2566 การส่งออกข้าวของเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 6.5-6.7 ล้านตัน ลดลงจาก 7.1 ล้านตัน เมื่อปีที่ผ่านมา ในขณะที่ธนาคารกลางของเวียดนามระบุเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ธนาคารฯ อยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต้องรักษาระบบธนาคารและตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้มีเสถียรภาพ

สำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างข้อมูลกรมศุลกากรว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2566) เวียดนามส่งออกได้ประมาณ 1.855 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยในเดือนมีนาคม 2566 เวียดนามส่งออกข้าวได้ 961,608 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.9 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ส่งออกได้ 534,607 ตัน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2565 (531,389 ตัน) ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ที่ประมาณ 509 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 78 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2566

ทางด้านสำนักข่าว Vietnam News Agency รายงานโดยอ้างรายงานที่เผยแพร่โดยกรมศุลกากร(the General Administration of Vietnam Customs) ว่า ในไตรมาสแรกของปี 2566 เวียดนามส่งออกข้าวแล้วประมาณ 1.8 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 925 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 และร้อยละ 30.2 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 ซึ่งถือเป็นมูลค่าส่งออกในไตรมาสแรกที่สูงที่สุดในรอบ 12 ปี

ข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) ระบุว่า เวียดนามประสบความสำเร็จในการปรับปรุงคุณภาพข้าวและความต้องการบริโภคข้าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่มาจากสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

นาย Le Thanh Tung รองหัวหน้าแผนกเพาะปลูกพืช สังกัดกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (the Ministry of Agriculture and Rural Development) กล่าวว่า การผลิตข้าวในปีนี้เฉพาะพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียว คาดว่าจะมีปริมาณสูงถึง 24 ล้านตันข้าวเปลือก ขณะที่ความต้องการบริโภคในเขตสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำโขง และนครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของเวียดนาม คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านตันข้าวเปลือก ทำให้เหลือข้าวประมาณ 13 ล้านตันข้าวเปลือก ที่จะนำไปสีแปรสภาพเป็นข้าวสารสำหรับการส่งออก โดยในจำนวนนี้ข้าวคุณภาพระดับพรีเมียมสำหรับการส่งออกมีสัดส่วนประมาณ 3 ล้านตัน ข้าวพันธุ์พิเศษประมาณ 2.1 ล้านตัน และข้าวธรรมดาประมาณ 1 ล้านตัน

สมาคมอาหารเวียดนาม (The Vietnamese Food Association; VFA) ระบุว่า มีแนวโน้มว่าข้าวเวียดนามจะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 เนื่องจากคาดว่าความต้องการในตลาดหลักจะเพิ่มขึ้นทั้งฟิลิปปินส์ จีน และแอฟริกา

นาย Nguyen Ng?c Nam ประธาน VFA กล่าวว่า ข้าวเวียดนามสามารถขายได้ราคาดีในตลาดต่างประเทศ แม้เศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มไม่สดใส เนื่องจากประเทศต่างๆ ต้องการกักตุนอาหารไว้รองรับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนในอนาคต

นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรีที่สำคัญ ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA) ทำให้ภาษีศุลกากรข้าวเวียดนามลดลงมากถึง 175 ยูโรต่อตัน ส่งผลให้ข้าวพรีเมียมของเวียดนามได้เปรียบในตลาดยุโรป ในขณะที่ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ผู้ส่งออกพยายามที่จะซื้อเพิ่มจากเกษตรกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไรสูงสุด อย่างไรก็ตาม หลายคนแสดงความกังวลจากการที่มีเงินไม่พอ

นาย Phan Van Chinh ผู้อำนวยการสำนักงานการค้าต่างประเทศของอุตสาหกรรมและการค้า กล่าวว่า กระทรวงฯ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ส่งออกเพื่อหาทางแก้ไข เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ และจัดการกับระเบียบ การนำเข้า/ส่งออกในตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ระบุว่า ยังคงติดตามปริมาณข้าวที่ส่งออกอย่างใกล้ชิด เพื่อประกันความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

โดยที่ผ่านมา ธนาคารแห่งเวียดนาม (SBV) ได้สั่งให้ธนาคารพาณิชย์ทบทวนและปรับปรุงกระบวนการกู้ยืมให้กับผู้ค้าข้าวเพื่อช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

กัมพูชา

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของกัมพูชา (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries) เปิดตัวข้าวหอมสายพันธุ์ใหม่ ?ชัมเป ซาร์ 70? หรือ ?ซีพีเอส 70? (Champei Sar 70 ? CPS 70) หลังจากได้ทำการวิจัยและพัฒนามาเกือบทศวรรษ

รายงานระบุว่า ข้าวหอมพันธุ์ใหม่นี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาการเกษตรของกัมพูชา (the Cambodian Agricultural Research and Development Institute) และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งทำการศึกษานาน 9 ปี และทดลองเพาะปลูกช่วงฤดูแล้งและฤดูฝน รวม 80 ครั้งทั้งนี้ ข้าวพันธุ์ซีพีเอส 70 ได้รับการพัฒนาจากพันธุ์ข้าวของกัมพูชาที่ได้รับรางวัลระดับโลกอย่างเช่น ข้าวหอมผกาลำดวน (Phka Rumduol) กับซีเอ็นไอ 9024 (CNi9024) โดยข้าวพันธุ์ซีพีเอส 70 เป็นข้าวหอมที่สุกรวงภายในระยะเวลา 3 เดือน

ข้าวหอมเป็นที่ต้องการสูงทั่วโลก และครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของการส่งออกข้าวสารทั้งหมดของ กัมพูชา โดยกัมพูชาตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวสาร 1 ล้านตัน ภายในปี 2568 ปัจจุบันภาคการเกษตรเป็นหนึ่งในเสาหลักค้ำจุนเศรษฐกิจกัมพูชา มีส่วนส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั้งหมดเกือบ 1 ใน 4 ในปี 2564 โดยภาคการเกษตรจ้างงานแรงงานกัมพูชากว่า 1 ใน 3 ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อินโดนีเซีย

สำนักข่าว The Jakarta Post รายงานว่า ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ยืนยันเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวจำนวน 2 ล้านตัน ในปี 2566 โดยมอบหมายให้หน่วยงาน Bulog (State Logistics Agency) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองข้าว และเพื่อเตรียมรับมือกับการเผชิญปรากฏการณ์เอลนิโญซึ่งเป็นสาเหตุของภัยแล้ง พร้อมระบุว่า การนำเข้าเพื่อเป็นปริมาณสำรองของ Bulog เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีฤดูแล้งที่ยาวนานจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ดังนั้น Bulog และสำนักงานอาหารแห่งชาติ (National Food Agency (NFA or Bapanas)) จึงเตรียมพร้อมโดยการเพิ่มปริมาณสำรองข้าว ซึ่งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการสำรองข้าวของรัฐบาล (government rice reserves) หรือ CBP จะบริหารจัดการโดย Bulog ผ่านการนำเข้าข้าว เพราะคาดว่าอาจประสบปัญหาด้านการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยการดำเนินการดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อป้องกันความยุ่งยากในการหาข้าวจากประเทศผู้ส่งออกข้าว เช่น ไทย เวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน เพราะเมื่อถึงเวลาคับขันอาจจะไม่มีข้าวเหลือในสต็อก ซึ่งปรากฏการณ์เอลนีโญไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอินโดนีเซียเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด คาดว่าการนำเข้าข้าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกที่ เกษตรกรขายได้ ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 ปริมาณสต็อกข้าวสำรองของ Bulog อยู่ที่ประมาณ 245,223 ตัน

ก่อนหน้านี้หัวหน้าสำนักงานอาหารแห่งชาติ ระบุว่า อินโดนีเซียจะพยายามนำเข้าข้าวจำนวน 2 ล้านตัน จาก4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม ปากีสถาน และอินเดีย

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศวิทยา และธรณีฟิสิกส์ (BMKG) ได้คาดการณ์ว่าจะเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยมีความเป็นไปได้ร้อยละ 50-60

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ