สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 15, 2023 13:35 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 8 - 14 พฤษภาคม 2566

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) โครงการสำคัญภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2565/66 ดังนี้

1.1) ด้านการผลิต

(1) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และมาตรการควบคุมค่าเช่าที่นา

(2) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน (ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตข้าวยั่งยืน

(3) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566 โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบสหกรณ์ แผนการถ่ายทอดความรู้การผลิตพืชหลังนาและการใช้น้ำในการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ และแผนการผลิตพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต

(4) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer)

(5) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มและพื้นแข็ง การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทย การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว

(6) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

(7) การส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรทั่วประเทศ (รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3)

1.2) ด้านการตลาด

(1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

(2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

(3) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ โครงการกระชับความสัมพันธ์และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ และโครงการปกป้องและแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า

(4) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์ไทย และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ประกอบด้วย3 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2565/66 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 8,600 บาท รวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2565/66 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 - 31 มีนาคม 2566 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 3

2.3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,381 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,418 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.27

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,920 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,869 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.52

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,050 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 30,517 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,570 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.78

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 870 ดอลลาร์สหรัฐฯ (29,169 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 859 ดอลลาร์สหรัฐฯ (29,083 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.28 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 86 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,066 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 503 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,030 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.19 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 36 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 515 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,267 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,233 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.18 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 34 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.5278 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

สหประชาชาติ

สหประชาชาติ (United Nations : UN) คาดผลผลิตข้าวในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากเกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก นางเชอร์ลีย์ มุสตาฟา นักเศรษฐศาสตร์จากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) คาดการณ์ว่า ในปีนี้ผลผลิตข้าวในภูมิภาคเอเชียจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้เกษตรกรขยายพื้นที่การเพาะปลูกและใช้ปุ๋ยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานข้าว หลังจากการผลิตข้าวในเอเชียปรับตัวลงในปี 2565 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

เมื่อไม่นานมานี้ ผลผลิตข้าวนาปรัง (off-season rice) ในประเทศไทย และอินเดีย ซึ่งเป็น 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก มีผลผลิตอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2565 ขณะที่เกษตรกรจะเร่งเพาะปลูกข้าวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากราคาข้าวพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี

นางมุสตาฟากล่าวว่า กลุ่มผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ในซีกโลกเหนือ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย อินเดีย และปากีสถาน จะเริ่มทำการเพาะปลูกข้าวนาปี (main crops) ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2566 โดยคาดว่าผู้ผลิตเหล่านี้จะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าว เพื่อตอบสนองต่อราคาข้าวที่ปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ผู้ผลิตใช้ปุ๋ยมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นด้วยการที่อินเดียได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกในปีที่ผ่านมา ประกอบกับผลผลิตข้าวทั่วโลกที่ลดลงหลังจาก คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมในจีน และเกิดอุทกภัยในปากีสถานนั้น ได้ส่งผลให้ราคาข้าวพุ่งขึ้น ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่า จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่มีสาเหตุมาจากราคาอาหาร อย่างไรก็ดี ราคาข้าวปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาข้าว 5% ในอินเดีย และไทย ต่ำกว่าระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวในช่วงต้นปี 2566

ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2565 การผลิตข้าวฤดูหนาว (winter-sown rice) ในอินเดียพุ่งขึ้นแตะระดับ 22.8 ล้านตัน จากระดับ 18.5 ล้านตัน ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่สูงกว่าระดับเฉลี่ย และเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกษตรกรเพิ่มการเพาะปลูก และสามารถชดเชยการลดลงของผลผลิตข้าวฤดูร้อน (summersown rice)

สำหรับประเทศไทยนั้น FAO คาดการณ์ว่า การผลิตข้าวนาปรังในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับตลอดทั้งปีที่ระดับ 5.1 ล้านตัน ข้อมูลจากสภาธัญพืชระหว่างประเทศ (IGC) คาดการณ์ว่า พื้นที่การผลิตข้าวทั่วโลกในปี 2566/67 จะเพิ่มขึ้นเป็น 165.70 ล้านเฮกตาร์ จากระดับ 163.74 ล้านเฮกตาร์ และคาดว่าการผลิตข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 521.49 ล้านตัน จากระดับ 509.30 ล้านตัน ปีเตอร์คลับบ์ นักวิเคราะห์ด้านการตลาดของ IGC กล่าวว่า ?เราคาดว่าราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในปี 2566/67 โดยเฉพาะประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่?

ขณะเดียวกัน ราคาปุ๋ยปรับลดลงในไตรมาสเดือนมกราคม-มีนาคม 2566 เนื่องจากซัพพลายจากเบลารุสซึ่งเป็นผู้ส่งออกโปแตช (potash) รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกนั้น เริ่มกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง และต้นทุนวัตถุดิบหลักซึ่งรวมถึงไนโตรเจน ปรับลดลงจากระดับสูงสุดเมื่อปี 2565 อย่างไรก็ดี สภาพอากาศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผลิตข้าวในเอเชีย โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการพยากรณ์อากาศ คาดการณ์ว่า เอเชียจะเผชิญกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในเอเชียแห้งแล้ง

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

เวียดนาม

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวปรับลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังจากก่อนหน้านี้ราคาทรงตัวในระดับสูง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวที่ภาวะการค้าชะลอลง

โดยราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ 485-495 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากระดับ 495-500 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในสัปดาห์ก่อนหน้าขณะที่ตัวเลขส่งออกของทางการระบุว่า ในเดือนเมษายน 2566 คาดว่าจะมีการส่งออกข้าวปริมาณมากถึง1.1 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-เมษายน 2566) เวียดนามสามารถส่งออกคิดเป็นมูลค่าถึง 1.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 43.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำนักข่าว The Saigon Times รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (the Ministry of Industry and Trade ) ได้จัดการประชุมที่นครโฮจิมินห์ เพื่อประเมินการส่งออกข้าวในไตรมาสแรก และกำหนดทิศทางการจัดการการค้าข้าวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งการประชุมดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ของจังหวัดในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง และผู้ส่งออกข้าวชั้นนำเข้าร่วมการประชุมจากข้อมูลของนาย Nguyen Ngoc Nam ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม (The Vietnam Food Association (VFA)) รายงานว่า ณ วันที่ 15 เมษายน 2566 เวียดนามส่งออกข้าวไปแล้วเกือบ 2.4 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.7 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565

ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม ระบุว่าประเทศฟิลิปปินส์หนึ่งในผู้ซื้อข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ได้ปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า พวกเขาจะนำเข้าข้าวราว 330,000 ตัน ขณะที่ประเทศอินเดียซึ่งเป็นคู่แข่งของเวียดนามในการส่งออกข้าว ได้ยกเลิกการเก็บภาษีร้อยละ 20 สำหรับการส่งออกข้าวบางส่วน (ข้าวเปลือกที่เหมาะสำหรับทำพันธุ์ข้าว) อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกข้าวในท้องถิ่นหลายรายกล่าวว่า การส่งออกข้าวของเวียดนามในปี 2566 จะไม่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์ดังกล่าว

ทางด้านนาย Nguyen Van Thanh ประธานคณะกรรมการและผู้อำนวยการทั่วไปของบริษัท Phuoc Thanh IV Trading - Production Company Limited กล่าวว่า ส่วนแบ่งการตลาดของทั้งสองประเทศ (อินเดีย และเวียดนาม) แตกต่างกัน ซึ่งฝ่ายหนึ่งเน้นข้าวคุณภาพต่ำ ส่วนอีกฝ่ายเป็นตลาดระดับกลาง โดยเวียดนามมีผู้ซื้อข้าวจำนวนมากจากประเทศจีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่เน้นนำเข้าข้าวเมล็ดยาวและหอมคุณภาพสูง ในทางตรงกันข้าม อินเดียส่งออกข้าวนึ่ง และข้าวบาสมาติเป็นหลัก

นอกจากนี้ บางประเทศในเอเชีย คาดว่าจะประสบปัญหาการขาดแคลนข้าว เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในปี 2566 ดังนั้นหลายประเทศจะพิจารณาเพิ่มการนำเข้าข้าวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร

นาย Huynh Van Khoe ผู้อำนวยการบริษัท Blue Ocean Export-Import กล่าวว่า ขณะนี้ข้าวเวียดนามมีโอกาสที่จะปรับตำแหน่งในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกข้าวในท้องถิ่นยังขาดข้าวคุณภาพที่จะขายไปยังตลาด สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปประธานสมาคมอาหารเวียดนามกล่าวว่า การส่งออกข้าวของเวียดนามมีเงื่อนไขที่ดีในปี 2566 เนื่องจากอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน อย่างไรก็ตาม เวียดนามจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการผลิต การเชื่อมโยง และการปรับตัวต่อการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดมากขึ้น

นาย Ngo Ngoc Yen ผู้อำนวยการบริษัท Hoa Phat Tan Chau Export-Import กล่าวว่า ข้าวคุณภาพต่ำ เช่น พันธุ์ IR 50404 หรือ OM 380 มีราคาอยู่ที่ 6,500-6,600 ดองเวียดนามต่อกิโลกรัม ในขณะเดียวกัน ข้าวคุณภาพสูงอื่นๆ เช่น OM 5451 และ OM 18 ราคา 6,800-6,850 ดองเวียดนามต่อกิโลกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้น 500-600 ดองเวียดนาม เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

ทั้งนี้ จากภาวะการค้าในตลาดโลกและสถานการณ์ปัจจุบันของอุปทานข้าวในท้องถิ่น เขาคาดการณ์ว่า ตลาดข้าวจะคึกคักต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี โดยรัฐวิสาหกิจหลายแห่งติดต่อขอซื้อข้าวจากผู้ค้า แต่ข้าวมีปริมาณจำกัด โดยจะเห็นได้จาก ในช่วงนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือนก่อนที่ผลผลิตข้าวในฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วง (the summer-autumn rice) ในจังหวัด Tien Giang และ Long An จะออกสู่ตลาด แต่ผู้ค้าข้าวจำนวนมากยังคงต้องใช้เงินซื้อข้าวในราคาสูง

นาย Nguyen Van Hai พ่อค้าข้าวในเขต Cai Lay จังหวัด Tien Giang กล่าวว่า จนถึงตอนนี้เขาต้องจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อซื้อข้าวจากชาวนาในราคาตั้งแต่ 0.32-0.48 ล้านดองต่อพื้นที่เก็บเกี่ยว 1 ไร่ และต้องใช้เงินซื้อข้าว IR 500404 และ OM 380 ที่ประมาณ 6,500-6,000 ดองเวียดนามต่อตัน ขณะที่ชาวนาในชุมชน Phu Cuong อำเภอ Cai Lay จังหวัด Tien Giang กล่าวว่า หากสามารถผลิตข้าวได้มากถึง 1.12 ตันต่อไร่ หลังจากหักต้นทุนการผลิตแล้ว ชาวนาจะได้รับกำไรประมาณ 2.5 ล้านดองต่อ 1,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 4 ล้านดองต่อไร่

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ฟิลิปปินส์

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า ภายใต้โครงการระยะเวลา 5 ปีที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้กำหนดกลยุทธ์หลักเพื่อปรับปรุงการผลิต รวมถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อหาทางปลูกข้าวให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศให้ได้ภายในปี 2570 หรือหนึ่งปีก่อนที่ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร จะครบวาระ 6 ปี

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายใต้โครงการดังกล่าว อุปทานข้าวในประเทศจะมีปริมาณอยู่ที่ 24.99-26.86 ล้านตัน นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าให้ราคาข้าวเฉลี่ยในแต่ละปีเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 1 และรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 รวมทั้งรักษาสต็อกข้าวให้เพียงพอต่อการบริโภค ทั้งนี้ คำมั่นสัญญาดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนล้มเหลว

ในการบรรลุเป้าหมายที่จะพึ่งพาตนเองในการปลูกข้าว เนื่องจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด และผลกระทบจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ได้บั่นทอนผลผลิตข้าวในท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีการนำเข้าข้าวปริมาณมากกว่า 3 ล้านตันต่อปี และส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศเวียดนาม เพื่อเสริมอุปทานในท้องถิ่น และรักษาเสถียรราคา

กระทรวงเกษตรกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันอุปทานข้าวในประเทศยังคงเพียงพอ และพยายามบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์สภาพอากาศเอลนีโญ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้รัฐบาลกำลังมองหาแหล่งอุปทานข้าวเพิ่มเติม โดยหน่วยงาน National Food Authority (NFA) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลสต็อกข้าวภายในประเทศ ได้เสนอให้นำเข้าข้าวปริมาณ 330,000 ตัน เพื่อให้เพียงพอกับภาวะขาดดุลอุปทานที่คาดการณ์ไว้ในคลังสำรอง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ยังไม่ได้อนุมัติข้อเสนอดังกล่าว

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ