สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 19, 2023 15:17 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 12 - 18 มิถุนายน 2566

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การผลิต

1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์เบื้องต้น ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.898 ล้านไร่ ผลผลิต 27.013 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 429 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปีการผลิต 2565/66 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.917 ล้านไร่ ผลผลิต 26.703 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 424 กิโลกรัม พบว่าเนื้อที่เพาะปลูก ลดลงร้อยละ 0.03 ส่วนผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.16 และร้อยละ 1.18 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากคาดว่าเกษตรกรปรับเปลี่ยนที่นาบางส่วนไปปลูกพืชอื่นที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเช่น มันสำปะหลัง แต่เนื้อที่ลดลงไม่มาก เพราะเกษตรกรยังคงคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหมือนที่ผ่านมา สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ คาดว่าเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว จึงส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตข้าวทั้งประเทศเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ เดือนมิถุนายน 2566 คาดว่ามีการเพาะปลูกข้าวนาปี ปี 2566/67 จำนวน 22.924 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 36.45 ของเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมด และตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2566 คาดว่ามีการเพาะปลูกข้าวนาปี จำนวน 43.913 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 69.82 ของเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมด 2) ข้าวนาปรัง ปี 2566 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 11.746 ล้านไร่ ผลผลิต 7.614 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 648 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.547 ล้านไร่ ผลผลิต 6.171 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 646 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.03 ร้อยละ 23.39 และร้อยละ 0.31 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติมีมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงเดือนกันยายน 2565 มีพายุโนรูเข้าประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักและปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าปกติ ประกอบกับเกษตรกรบางส่วนปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม โดยขยายเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นในพื้นที่นาที่เคยปล่อยว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว

ทั้งนี้ เดือนมิถุนายน 2566 คาดว่ามีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรัง ปี 2566 ปริมาณ 0.542 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 7.12 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน 2566 คาดว่ามีการเก็บเกี่ยวผลผลิตปริมาณ 7.300 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 95.88 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,818 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,790 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.20

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,887 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.64

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 16,030 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.50

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 874 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,074 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 871 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,043 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 31 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,514 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 507 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,488 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.39 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 26 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 515 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,721 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 513 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,695 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.39 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 26 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.4091 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 อินเดีย

กระทรวงเกษตรและสวัสดิการเกษตรกร (the Ministry of Agriculture & Farmers Welfare) รายงานว่า รัฐบาลอินเดียได้ปรับราคาอุดหนุนข้าวเปลือกขั้นต่ำ (the Minimum Support Price: MSP) ในปี 2566/67 (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567) โดยคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (the Cabinet Committee on Economic Affairs: CCEA) มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติให้เพิ่มราคาอุดหนุนข้าวเปลือกขั้นต่ำ (MSP) สำหรับฤดูการผลิต Kharif Crops เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาข้าวและค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม โดยรัฐบาลได้ปรับราคาอุดหนุนขั้นต่ำสำหรับข้าวเปลือกเกรดทั่วไป (common-grade paddy) ปี 2566/67 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7.0 เป็น 2,183 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณ 264 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) จากเดิม 2,040 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณ 247 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) เมื่อปี 2565/66 ข้าวเปลือกเกรด A (Grade A paddy) ปรับราคาเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.9 เป็น 2,203 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณ 267 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) จากเดิม 2,060 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม (ประมาณ 250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) ทั้งนี้ รัฐบาลได้ประเมินต้นทุนการผลิตข้าว ในปี 2566/67 ที่ราคา 1,455 รูปี ต่อ 100 กิโลกรัม รวมทั้งกำหนดราคาอุดหนุนขั้นต่ำที่เหมาะสมเพื่อให้เกษตรกรมีกำไร (Margin over cost in percent) ประมาณร้อยละ 50

กระทรวงกิจการผู้บริโภคอาหารและการแบ่งสรรสาธารณะ (the Ministry of Consumer Affairs, Food & Public Distribution) รายงานว่า รัฐบาลอินเดียได้พิจารณาให้มีการจำหน่ายข้าวจากสต็อกส่วนกลาง (central pool stock) ภายใต้แผนโครงการเปิดตลาดขาย (Open Market Sale Scheme: OMSS) ปี 2566 ให้กับโรงงานแป้ง (flour mills) ผู้ค้าเอกชน (private traders) ผู้ซื้อปริมาณมาก (bulk buyers) และโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าว (manufacturers of rice products) เพื่อช่วยให้ราคาข้าวในประเทศปรับลดลง โดยคาดว่าปริมาณข้าวที่จะมีการประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) จะเริ่มพิจารณาในระยะเวลาอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้พิจารณาที่จะระบายข้าวสาลีจากสต็อกส่วนกลางภายใต้แผน OMSS ในระยะแรกจำนวน 1.5 ล้านตัน เพื่อควบคุมราคาภายในประเทศ โดยข้าวสาลีจะจำหน่ายเป็นล็อตขนาด 10-100 ตัน ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนบนแพลตฟอร์มการประมูลอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การอาหารแห่งชาติ (the Food Corporation of India: FCI)

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

2.2 อิรัก

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ รายงานว่า ในปี 2566 คาดว่าอิรักจะนำเข้าข้าวประมาณ 2.2 ล้านตัน ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ อิรักจะเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคในประเทศ เพราะคาดว่าในปี 2566 จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่เพาะปลูกข้าว โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566

อิรักนำเข้าข้าวประมาณ 815,000 ตัน เป็นการนำเข้าข้าวจากประเทศไทย อินเดีย และสหรัฐอเมริกาทั้งนี้ รัฐบาลอิรักได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) กับสหรัฐฯที่ขอความร่วมมือให้อิรักซื้อข้าวจากสหรัฐไม่น้อยกว่า 200,000 ตัน ในปี 2565 ? 2566 โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 อิรักนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ แล้วประมาณ 88,000 ตัน แม้ว่าราคาข้าวของสหรัฐจะสูงกว่าประเทศผู้ส่งออกรายอื่นก็ตาม ซึ่งจากรายงานการส่งออกรายสัปดาห์ของสหรัฐ (the weekly U.S. Export Sales) พบว่า ในเดือนพฤษภาคม 2566 สหรัฐส่งออกข้าวไปยังอิรัก จำนวน 44,000 ตัน และยังมียอดคงค้างอีกประมาณ 80,000 ตัน ที่มีกำหนดส่งมอบภายในปี 2566/67

ปี 2566 ในช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม - เมษายน) ไทยและอินเดียส่งออกข้าวไปยังอิรักประมาณ 470,000 ตัน และประมาณ 225,000 ตัน ตามลำดับ รวมคิดเป็นร้อยละ 57 ของส่วนแบ่งตลาดข้าวในอิรัก ซึ่งการส่งออกข้าวของไทยและอินเดียยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากราคาแข่งขันได้ และมีอุปทานข้าวจำนวนมาก และตั้งแต่ปี 2565 ไทยสามารถเป็น

ผู้จัดหาข้าวหลักให้กับอิรัก หลังจากที่ต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับประเทศอินเดียและเวียดนามตั้งแต่ปี 2557 ยกเว้นการส่งออกข้าวบาสมาติที่อินเดียยังคงเป็นผู้ส่งออกหลัก อย่างไรก็ตาม อิรักได้ลดการซื้อข้าวจากอินเดีย เนื่องจากผู้บริโภคชอบข้าวขาวที่ไม่มีกลิ่นหอมจากประเทศไทยมากกว่า และคาดการณ์ว่าในปี 2567 อิรักจะนำเข้าข้าวจากต่างประเทศลดลง เนื่องจากคาดว่าผลผลิตในประเทศจะกลับมาเพิ่มขึ้น

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ