สศก. ติดตามโครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ศรีสะเกษ พึ่งตนเอง นำสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานโครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางสาธิตการฝึกอบรม ศึกษาดูงาน และเป็นตัวอย่างเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการเกษตรให้เกษตรกรนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาอาชีพการเกษตรของตนเองตามสภาพภูมิสังคม และเป็นสถานที่ให้บริการทางวิชาการเกษตร และสนับสนุนพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่ดี สู่เกษตรกร โดยมีกรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินโครงการ และมีการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นรวม 13 หน่วยงานโดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีเป้าหมายในการจัดทำแปลงเรียนรู้ แปลงสาธิต และแปลงต้นแบบทางการเกษตร 412 ไร่ ถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร 389 ราย
ผลจากการดำเนินงาน พบว่า มีการจัดทำแปลงเรียนรู้การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร 412 ไร่ (ร้อยละ 100 ของเป้าหมาย) ประกอบด้วย ด้านพืช 62 ไร่ การทำการใช้น้ำหมักชีวภาพ 250 ไร่ สาธิตการทำปุ๋ยหมัก พด. 50 ไร่ การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี 5 ไร่ แปลงเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชไร่ พืชผัก การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ 5 ไร่ และดูแลรักษาพัฒนาแปลงเรียนรู้ภายในฟาร์ม/ศูนย์ 40 ไร่
อบรมถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร 389 ราย (ร้อยละ 100 ของเป้าหมาย) ประกอบด้วย ความรู้ทางเทคโนโลยีการเกษตรด้านพืช (เกษตรกรขยายผล) 128 ราย ด้านการประมง 121 ราย สร้างกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 40 ราย การถ่ายทอดความรู้ การติดตามและขยายผลด้านข้าว 50 ราย การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชไร่ พืชผัก และการให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ 50 ราย นอกจากนี้ ยังส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกร โดยสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อจัดระบบนิเวศเกษตร และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ โดยมีการสนับสนุนพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และสัตว์น้ำ เช่น ปลาตะเพียน ปลาดุก ปลานิล รวม 309,000 ตัว พันธุ์ สัตว์ปีก 1,000 ตัว พืชอาหารสัตว์ 20 ไร่ และส่งเสริมการดำเนินกิจการของสหกรณ์ ซึ่งดำเนินการได้ครบตามเป้าหมาย ทุกกิจกรรม
ผลจากการติดตามพบว่า เกษตรกรร้อยละ 88 ได้นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ ด้านพืช อาทิ การปลูกไม้ผล การปลูกพืชผัก การปลูกข้าวโพดหลังนา ด้านปศุสัตว์ อาทิ การทำอาหารสัตว์ การเลี้ยงไก่ลูกผสมพันธุ์พื้นเมือง การเลี้ยงโค ด้านประมง อาทิ การเลี้ยงปลานิล ปลาตะเพียน ปลาดุก และนำปัจจัยการผลิตที่ได้สนับสนุนด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง และพัฒนาที่ดินไปใช้ประโยชน์ทั้งหมด โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ประมาณร้อยละ 60 มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18,445 บาทต่อครัวเรือนต่อปี จากการจำหน่ายผลผลิต เช่น ทุเรียนภูเขาไฟ เงาะ มะนาว มะยงชิด ยางพารา พืชผักสวนครัว ไก่พื้นเมือง ไก่ไข่ โคเนื้อ เป็ดไข่ เลี้ยงปลานิล ปลาตะเพียน และ ปลาดุก และเกษตรกรสามารถลดรายจ่ายได้ 20,344 บาทต่อครัวเรือนต่อปี แบ่งเป็น 1) ลดรายจ่ายในครัวเรือนเฉลี่ย 8,694 บาทต่อครัวเรือนต่อปี โดยนำผลผลิตที่ปลูกเองในแปลง อาทิ พืชผักสวนครัว และพืชผักตามฤดูกาลมาบริโภค รองลงมาลดลงได้จากการบริโภคปลาที่เลี้ยงในแปลงของตนเอง และลดรายจ่ายด้านปศุสัตว์จากการนำไก่ ไข่ไก่ เป็ด และไข่เป็ดที่เลี้ยงมาบริโภคในครัวเรือน และ 2) ลดค่าใช้จ่ายในการทำเกษตรเฉลี่ย 11,650 บาทต่อครัวเรือนต่อปี จากการนำวัสดุเหลือใช้มาทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ การผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง ลดการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และเก็บพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ไว้ใช้เองในฤดูกาลผลิตปีต่อไป
ภาพรวมหลังจากเข้าร่วมโครงการฯ เกษตรกรร้อยละ 90 มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น สืบเนื่องจากการมีรายได้เพิ่มขึ้น ลดรายจ่ายในครัวเรือน ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น นอกจากนี้ เกษตรกรร้อยละ 39 มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม เช่น กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และเกษตรกรร้อยละ 57 มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในพื้นที่โครงการ/ชุมชน เช่น ร่วมกันดำนาปลูกข้าวในพื้นที่โครงการ ดูแลรักษาพัฒนาแปลงเรียนรู้
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรมีการส่งเสริมประชาสัมพันธ์โครงการให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ทั้งจากแปลงสาธิตและเกษตรกรต้นแบบที่มีศักยภาพในแต่ละด้าน อาทิ แปลงเกษตรกรต้นแบบด้านการปลูกทุเรียนภูเขาไฟ แปลงเกษตรกรต้นแบบด้านการปลูกข้าวอินทรีย์ เป็นต้น และส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร หรือขยายผลกลุ่มที่ประสบความสำเร็จเพื่อเป็นต้นแบบ เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพิ่มมูลค่าสินค้า ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองนำสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน
************************************
ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์ / ข้อมูล : ศูนย์ประเมินผล
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร