สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 12, 2024 15:01 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 5 - 11 สิงหาคม 2567

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต

1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น

คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนสิงหาคม 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 1.911 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 7.07 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด 2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุนไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์

คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนสิงหาคม 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.016 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.25 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม 2567 อีก 0.020 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.33 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด

1.2 การตลาด

1.2.1 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2566/67 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 4 โครงการ ดังนี้

1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67

โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี

3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท

4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ? 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4

1.2.2 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม 2,302.16 ล้านบาท ทั้งนี้ กรรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ (1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ และ (7) ช้างป่า

1.3 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,113 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,046 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,774 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,757 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.16

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 34,170 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 34,050ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 18,850 บาท ราคาลดลงจากตันละ 19,350 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.58

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 935 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,852 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 933 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,068 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 216 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 580 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,379 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 593ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,018 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.19 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 639 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 583 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,484 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 590 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,911 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.19 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 427 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.1355 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

1) ไอวอรี่โคสต์

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐบาลไอวอรี่โคสต์ได้พัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ที่สามารถให้ผลผลิตได้มากถึง 800 กิโลกรัมต่อไร่ และยังทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มผลผลิตอาหารหลักในภูมิภาคและลดการพึ่งพาการนำเข้า ใช้เงินลงทุนประมาณ 330 พันล้านฟรังก์ CFA (ประมาณ 19.47 พันล้านบาท) โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบชลประทาน การใช้เครื่องจักร และการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ทนแล้งในระยะสั้นได้ดียิ่งขึ้น และ หวังว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ไอวอรี่โคสต์ผลิตข้าวแบบพึ่งตนเองได้ ทั้งนี้ ข้าวพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 650 ฟรังก์ CFA (ประมาณกิโลกรัมละ 38.35 บาท)

กรรมการผู้จัดการสำนักงานเพื่อการพัฒนาภาคส่วนข้าว (The Managing Director of the Agency for the Development of the Rice Sector) กล่าวว่า ปัจจุบันการผลิตข้าวขาวในท้องถิ่นของไอวอรี่โคสต์อยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านตัน ซึ่งต่ำกว่าการบริโภคข้าวของประเทศที่ประมาณ 2.1 ล้านตัน ทำให้ประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ โดยส่วนใหญ่จะนำเข้าจากอินเดีย ไทย และปากีสถานเป็นหลัก

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ฟรังก์ CFA เท่ากับ 0.0590 บาท

2) กัมพูชา

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 นาย Hun Manet นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้เข้าร่วมพิธีเปิดโครงการสร้างคลองฟูนันเตโช ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (59,730 ล้านบาท) มีเส้นทางน้ำยาว 180 กิโลเมตร กว้าง 100 เมตร และลึก 5.4 เมตร โดยคลองฟูนันเตโชจะเชื่อมต่อระหว่างกรุงพนมเปญกับจังหวัดแกบ บนชายฝั่งทางตอนใต้ของกัมพูชา และยังสามารถเข้าถึงอ่าวไทยได้ ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชาหวังว่าคลองแห่งนี้จะสามารถช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวของประเทศอย่างท่าเรือสีหนุวิลล์ รวมทั้งลดการพึ่งพาท่าเรือในเวียดนามด้วย

นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจและการเมือง เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงอิทธิพลของจีนที่มีต่อการเมืองและเศรษฐกิจของกัมพูชา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างคลองฯ โดยเฉพาะการไหลของน้ำในแม่น้ำโขงที่หล่อเลี้ยงประชากรนับล้านคน ใน 6 ประเทศ ที่ประกอบอาชีพ การประมงและการเกษตร รวมทั้งเวียดนามยังกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยม ปากแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวเพื่อส่งออกที่สำคัญของเวียดนาม หรือคิดเป็นร้อยละ 90 ของปริมาณการส่งออกทั้งประเทศ

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.1355 บาท

3) ฟิลิปปินส์

สำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry: BPI) กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (Department of Agriculture: DA) เปิดเผยตัวเลขการนำเข้าข้าวปลายเดือนกรกฎาคม 2567 มีปริมาณ 2.44 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามเป็นอันดับ 1 ที่ปริมาณ 1.83 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 75 รองลงมา ได้แก่ ไทย ปริมาณ 358,728 ตัน คิดเป็นร้อยละ 14.7 และปากีสถาน ปริมาณ 154,523 ตัน คิดเป็นร้อยละ 6.3 ตามลำดับ ขณะที่ กรมศุลกากรฟิลิปปินส์ (Bureau of Customs : BoC) เปิดเผยตัวเลขการนำเข้าข้าวในเดือนมิถุนายน 2567 มีปริมาณ 156,644 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่ 240,521 ตัน หรือลดลงร้อยละ 35.7 เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้ประกาศลงนามคำสั่ง Executive Order No. 62 เกี่ยวกับการปรับแก้ระบบการตั้งชื่อ (Nomenclature) และอัตราภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ ของฟิลิปปินส์ใหม่ โดยเฉพาะการปรับลดภาษีข้าวจากร้อยละ 35 เหลือร้อยละ 15 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้นำเข้าข้าวสั่งยกเลิกและชะลอการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีการคัดค้าน การปรับใช้คำสั่ง Executive Order No. 62 จากกลุ่มเกษตรกรในฟิลิปปินส์ที่กังวลว่าคำสั่งดังกล่าวจะส่งผลเชิงลบต่อเกษตรกรในท้องถิ่น

นอกจากนี้ DA พยายามลดราคาข้าวให้เหลือกิโลกรัมละ 20 เปโซ (กิโลกรัมละ 11.65 บาท) ตามนโยบายของประธานาธิบดีเฟอดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ และเตรียมเปิดตัวโครงการ Rice for All เพื่อขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบันให้แก่ประชาชนทุกคน โดยราคาข้าวในโครงการฯ จะอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 45 ? 48 เปโซ (กิโลกรัมละ 26.20 ? 27.95 บาท)

ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 เปโซ เท่ากับ 0.5823 บาท

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


แท็ก ข้อมูล  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ