สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 6 - 12 มกราคม 2568
ข้าว
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.020 ล้านไร่ ผลผลิต 27.007 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.098 ล้านไร่ ผลผลิต 26.934 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.13 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 และร้อยละ 0.23 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกรมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนภายหลังจากที่เพาะปลูกแล้วเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับราคาที่เกษตรกรขายได้ยังจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษา ถึงแม้ว่าในบางจังหวัดประสบอุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2567 มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้ผลผลิตเสียหาย และบางพื้นที่มีการระบาดของแมลงหวี่ขาว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และไม่พบการระบาดของโรคและแมลง ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยเดือนธันวาคม 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 2.292 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.49 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2567 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.329 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 97.50 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด คงเหลือผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดอีกประมาณ 0.678 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 2.50 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2568 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 12.005 ล้านไร่ ผลผลิต 7.864 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 655 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.125 ล้านไร่ ผลผลิต 6.560 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 648 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก ปี 2567 ร้อยละ 18.57 ร้อยละ 19.88 และร้อยละ 1.08 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2567 และคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 จะทำให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ รวมถึงน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเมื่อต้นฤดูกาลเพาะปลูกมีปริมาณมากกว่าปีที่แล้ว จูงใจให้เกษตรบางส่วนขยายเนื้อที่เพาะปลูกในที่นา ที่เคยปล่อยว่าง เพื่อปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีน้ำเพียงพอต่อต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว
ทั้งนี้ เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2568 ปริมาณรวม 5.33 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 67.73 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2.1 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 3 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,500 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.50 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.50 ต่อปี
3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2567/68
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 (ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2568) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 1.2.2 โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเพิ่มระดับผลิตภาพของสินค้าข้าว โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 4.61 ล้านครัวเรือน รัฐจะจ่ายเงินสนับสนุนแก่เกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินงบประมาณ 38,578.22 ล้านบาท
1.2.3 โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม 2,302.16 ล้านบาท ทั้งนี้ กรรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ (1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ และ (7) ช้างป่า
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,778 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,639 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.95
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,350 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,339 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 35,150 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,430 บาท ราคาลดลงจากตันละ 15,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.26
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 918 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,530 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 927 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,581 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 51 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 494 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,967 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 523 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,818 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.54 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 851 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 497 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,070 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 523 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,818 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 748 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.3468 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ประเมินแนวโน้มการส่งออกข้าว ในปี 2568 ว่า ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยจะลดลงอยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านตัน จากที่คาดการณ์ว่า ในปี 2567 ไทยจะสามารถส่งออกได้ประมาณ 10 ล้านตัน เนื่องจากผลผลิตข้าวจากหลายประเทศออกสู่ตลาดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอินเดียที่เพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตและมีปริมาณผลผลิตมากกว่าปกติถึง 4 ? 5 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งถือเป็นปริมาณสูงที่สุดในรอบหลายสิบปี
สำหรับเวียดนามจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของโลกและมีการนำเข้าประมาณ 4 ? 5 ล้านตัน ในปี 2567 ได้ประกาศว่าจะไม่นำเข้าข้าวในปี 2568 เนื่องจากมีนโยบายที่จะพึ่งพาตนเองในการผลผลิตข้าวภายในประเทศ ส่วนฟิลิปปินส์ยังคงนำเข้าข้าวปกติ ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวในตลาดโลกขณะที่ความต้องการซื้อข้าวลดลง จะส่งผลให้ราคาข้าวส่งออกและราคาข้าวเปลือกในประเทศปรับตัวลดลง หากไทยต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกจำเป็นต้องปรับราคาข้าวให้ใกล้เคียงกับราคาข้าวของอินเดีย ซึ่งปัจจุบันอินเดียขายข้าวขาวและข้าวนึ่งในราคาที่ต่ำกว่าไทยประมาณตันละ 50 ? 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 1,717.34 ? 2,060.81 บาท) นอกจากนี้ ความมีเสถียรภาพของค่าเงินบาทยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย
นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ในปี 2568 ราคาข้าวเปลือกในประเทศมีโอกาสทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2567 เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับสูง เช่น ข้าวสาลีมีปริมาณลดลง ทำให้มีการหันมาใช้ปลายข้าวแทน รวมถึงราคาข้าวโพดที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมีราคากิโลกรัมละ 11 บาท ขณะเดียวกันการบริโภคข้าวในประเทศคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะจากการบริโภคข้าวของแรงงานต่างด้าวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบริโภคข้าวประมาณ 100 กิโลกรัม/คน/ปี ซึ่งมากกว่าคนไทยที่บริโภคข้าวเฉลี่ย 72 กิโลกรัม/คน/ปี รวมถึงการบริโภคข้าวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ เกษตรกรไทยยังมีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกข้าว โดยหันไปปลูกข้าวพื้นนุ่มที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศทรงตัวอยู่ในระดับสูง แม้ว่าอินเดียจะกลับมาส่งออกข้าวขาวแล้วก็ตาม
ที่มา สำนักข่าวอิศรา
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.3468 บาท
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทรายงานการส่งออกข้าวเวียดนามว่า ในปี 2567 มีปริมาณ 9 ล้านตัน มูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 195.78 พันล้านบาท) เป็นการสร้างสถิติใหม่ และเมื่อเทียบกับปี 2566 ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 และร้อยละ 24 ตามลำดับ ขณะที่ราคาส่งออกข้าวโดยเฉลี่ยปี 2567 สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งมีราคาสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน (ประมาณ 20,608.08 บาทต่อตัน) โดยฟิลิปปินส์เป็นตลาดนำเข้าที่ใหญ่ที่สุด ปริมาณ 3.6 ล้านตัน
ที่มา สำนักข่าวซินหัว
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.3468 บาท
สำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry: BPI) กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (Department of Agriculture: DA) เปิดเผยตัวเลขการนำเข้าข้าว ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2567 มีปริมาณ 4.35 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 3.34 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 76.8 ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ไทย ปริมาณ 556,248 ตัน (ร้อยละ 12.9) ปากีสถาน ปริมาณ 224,629 ตัน (ร้อยละ 5.2) เมียนมา ปริมาณ 197,952 ตัน และอินเดีย ปริมาณ 22,572 ตัน ตามลำดับ กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์เตรียมจำหน่ายข้าว 2 ชนิด ได้แก่ ข้าว Sulit และ ข้าว Nutri โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดราคาข้าวในตลาดฟิลิปปินส์และเพิ่มทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์
โดยข้าว Sulit เป็นข้าวขาวหัก ร้อยละ 100 ซึ่งมีคุณภาพดี โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 35 ? 36 เปโซ (กิโลกรัมละ 19.69 ? 20.25 บาท) และข้าว Nutri เป็นข้าวที่มีสารอาหารสูง ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับข้าวกล้อง โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 37 ? 38 เปโซ (กิโลกรัมละ 20.82 ? 21.38 บาท) ทั้งนี้ ข้าวทั้งสองชนิดจะเริ่มจำหน่ายในเขตเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ และขยายไปยังพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ ภายในปี 2568 ผ่านทางโครงการศูนย์ Kadiwa ng Pangulo ของกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ และตลาดในบางพื้นที่ นอกจากนี้ นาย Arnel De Mesa ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ กล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนโครงการศูนย์ Kadiwa ng Pangulo ให้ได้ 700 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม 2568 และขยายไปเป็น 1,500 แห่ง ภายในปี 2571 เพื่อให้สามารถกระจายข้าวราคาประหยัดไปยังทุกภูมิภาคของประเทศ
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 เปโซ เท่ากับ 0.5626 บาท
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร