สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 27 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2568
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.020 ล้านไร่ ผลผลิต 27.007 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.098 ล้านไร่ ผลผลิต 26.934 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.13 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 และร้อยละ 0.23 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกรมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนภายหลังจากที่เพาะปลูกแล้วเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับราคาที่เกษตรกรขายได้ยังจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษา ถึงแม้ว่าในบางจังหวัดประสบอุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2567 มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้ผลผลิตเสียหาย และบางพื้นที่มีการระบาดของแมลงหวี่ขาว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และไม่พบการระบาดของโรคและแมลง ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.149 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.895 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.59 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด คงเหลือผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดอีกประมาณ 0.112 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 0.41 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2568 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 12.005 ล้านไร่ ผลผลิต 7.864 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 655 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.125 ล้านไร่ ผลผลิต 6.560 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 648 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก ปี 2567 ร้อยละ 18.57 ร้อยละ 19.88 และร้อยละ 1.08 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2567 และคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 จะทำให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ รวมถึงน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเมื่อต้นฤดูกาลเพาะปลูกมีปริมาณมากกว่าปีที่แล้ว จูงใจให้เกษตรบางส่วนขยายเนื้อที่เพาะปลูกในที่นาที่เคยปล่อยว่าง เพื่อปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีน้ำเพียงพอต่อต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 0.679 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.63 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2568 ปริมาณรวม 5.33 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 67.73 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,152 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,084 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.45
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,037 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,090 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.58
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 35,150 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,950 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,450 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.46
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2567/68 ณ เดือนมกราคม 2568 ผลผลิต 532.867 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 522.617 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2566/67 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.96
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2567/68 ณ เดือนมกราคม 2568 มีปริมาณผลผลิต 532.867 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2566/67 ร้อยละ 1.96 การใช้ในประเทศ 530.239 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2566/67 ร้อยละ 1.23 การส่งออก/นำเข้า 58.084 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2566/67 ร้อยละ 1.92 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 182.125 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2566/67 ร้อยละ 1.46
- ประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย บราซิล อุรุกวัย ปารากวัย กายานา อาร์เจนตินา สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา
- ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ ไทย เวียดนาม ปากีสถาน กัมพูชา เมียนมา จีน ตุรกี และออสเตรเลีย
- ประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน ไอเวอรี่โคสต์ แอฟริกาใต้ อิหร่าน สหรัฐอาหรับ-เอมิเรตส์ กานา บังกลาเทศ โมซัมบิก คาเมรูน เนปาล ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
- ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ เวียดนาม สหภาพยุโรป อิรัก มาเลเซีย อินโดนีเซีย บราซิล เม็กซิโก และเคนยา
- ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ ไทย ไนจีเรีย และสหรัฐอเมริกา
- ส่วนประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้สรุปภาพรวมการส่งออกข้าวของไทยในปี 2567 ว่า ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ปริมาณ 9.95 ล้านตัน มูลค่า 225,656 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 และร้อยละ 27 ตามลำดับ โดยปริมาณการส่งออกในปี 2567 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน และเป็นการส่งออกในปริมาณที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งการส่งออกข้าวในปริมาณที่สูงนี้ เป็นผลมาจากความต้องการนำเข้าข้าวเพื่อรองรับกับความต้องการบริโภค การชดเชยผลผลิตที่ลดลง บรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อด้านอาหาร และการรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศผู้นำเข้า ประกอบกับอินเดียมีมาตรการระงับการส่งออกข้าวขาวตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ถึง ตุลาคม 2567 ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวขาวจากอินเดียพิจารณานำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวในปี 2568 คาดว่าตลาดการค้าข้าวโลกจะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง และปริมาณผลผลิตข้าวของทั้งประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะภัยแล้งคลี่คลาย อีกทั้งภาวะทางเศรษฐกิจโลกอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจนำเข้าข้าวมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้นำเข้าข้าวที่สำคัญอย่างอินโดนีเซียอาจมีความต้องการนำเข้าข้าวลดลง เนื่องจากคาดว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น และได้มีการนำเข้าข้าวเพื่อสำรองสต็อกไว้ค่อนข้างมากแล้ว ในการนี้ กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้คาดการณ์ร่วมกันว่า การส่งออกข้าวไทยในปี 2568 จะมีประมาณ 7.5 ล้านตัน
ทั้งนี้ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นในปี 2568 ทำให้เห็นว่าการขยายโอกาสในการส่งออกข้าวไทยให้ครอบคลุมและสอดรับกันทั้งระบบมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการส่งออกข้าวไทย กรมฯ จึงได้ดำเนินการปรับลดขั้นตอนและระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าว จากเดิมใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 3 วัน เหลือเพียง 30 นาที ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินการส่งออกข้าวเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น โดยสามารถดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ กรมฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสในการขยายช่องทางตลาดข้าวไทยให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีแผนที่จะนำผู้ประกอบการรายย่อยที่มีศักยภาพในการส่งออกข้าวเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจในงาน BIOFACH 2025 ณ ประเทศเยอรมัน งาน Natural Products Expo West (NPEW) 2025 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และงาน THAIFEX ? ANUGA ASIA 2025 ณ ประเทศไทย โดยคาดว่าในระยะเวลา 1 ปี จะมีคำสั่งซื้อและสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร