สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2568
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.020 ล้านไร่ ผลผลิต 27.007 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.098 ล้านไร่ ผลผลิต 26.934 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.13 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 และร้อยละ 0.23 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกรมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนภายหลังจากที่เพาะปลูกแล้วเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับราคาที่เกษตรกรขายได้ยังจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษา ถึงแม้ว่าในบางจังหวัดประสบอุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2567 มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้ผลผลิตเสียหาย และบางพื้นที่มีการระบาดของแมลงหวี่ขาว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และไม่พบการระบาดของโรคและแมลง ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.149 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.895 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.59 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด คงเหลือผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดอีกประมาณ 0.112 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 0.41 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2568 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 12.005 ล้านไร่ ผลผลิต 7.864 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 655 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.125 ล้านไร่ ผลผลิต 6.560 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 648 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก ปี 2567 ร้อยละ 18.57 ร้อยละ 19.88 และร้อยละ 1.08 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2567 และคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 จะทำให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ รวมถึงน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเมื่อต้นฤดูกาลเพาะปลูกมีปริมาณมากกว่าปีที่แล้ว จูงใจให้เกษตรบางส่วนขยายเนื้อที่เพาะปลูกในที่นาที่เคยปล่อยว่าง เพื่อปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีน้ำเพียงพอต่อต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 0.679 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.63 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2568 ปริมาณรวม 5.33 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 67.73 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2.1 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 3 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,500 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.50 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.50 ต่อปี
3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2567/68
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 (ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2568) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
1.2.2 โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเพิ่มระดับผลิตภาพของสินค้าข้าว โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 4.61 ล้านครัวเรือน รัฐจะจ่ายเงินสนับสนุนแก่เกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินงบประมาณ 38,578.22 ล้านบาท
1.2.3 โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม 2,302.16 ล้านบาท ทั้งนี้ กรรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ (1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก (2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น (4) ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง (5) ลูกเห็บ (6) ไฟไหม้ และ (7) ช้างป่า
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,196 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,152 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.29
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,822 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,037 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.38
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 34,350 บาท ราคาลดลงจากตันละ 35,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.28
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,650 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,950 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.15
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 959 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,124 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 967 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,699 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83 และลดลงในรูปเงินบาท ตันละ 575 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,174 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตัน 469 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,859 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.41 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 685 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 469 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,710 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 495 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,738 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.25 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 1,028 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.4975 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
การส่งออกข้าวของไทยไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญ 10 อันดับแรก กำลังเผชิญกับความเสี่ยง หลังจากที่นาย Donald John Trump ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจากทั่วโลก นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สินค้าข้าวของไทยอาจถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการเก็บภาษีสินค้าข้าวจากทุกประเทศ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะเก็บภาษีหรือปรับอัตราภาษีขึ้น จะส่งผลกระทบต่อราคาข้าวของไทยทำให้ข้าวมีราคาสูงขึ้น และอาจส่งผลให้การขายข้าวในตลาดสหรัฐฯ ยากขึ้น นอกจากนี้ การปรับภาษีอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
ปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปยังสหรัฐฯ เฉลี่ยปีละประมาณ 600,000 ตัน โดยส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวพรีเมียมราคาสูง หากสหรัฐฯ ปรับเพิ่มภาษีอาจทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไปยังสหรัฐฯ ลดลง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า สหรัฐฯ จะดำเนินการกับสินค้าอาหารเพิ่มเติมหรือไม่
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
สำนักข่าวฟิลิปปินส์ (Philippine News Agency) รายงานว่า กระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ (Department of Agriculture; DA) ได้ออกประกาศภาวะฉุกเฉินด้านความมั่นคงทางอาหารสำหรับข้าว เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากราคาข้าวภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ แม้ว่าราคาข้าวในตลาดโลกจะปรับลดลง และมีการปรับลดภาษีนำเข้าข้าวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 นาย Francisco P. Tiu-Laurel, Jr. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ กล่าวว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้จะทำให้สำนักงานอาหารแห่งชาติ (National Food Authority; NFA) สามารถระบายสต็อกข้าวสำรองออกสู่ตลาดได้ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและให้มั่นใจว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์จะสามารถเข้าถึงข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของประเทศได้อย่างเพียงพอ โดย NFA จะเริ่มจำหน่ายข้าวสารจากสต็อกซึ่งเป็นข้าวที่ยังไม่หมดอายุ ให้แก่ โครงการ Kadiwa ng Pangulo (KNP) หน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่น หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ และบริษัทที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและควบคุม (Government-Owned and Controlled Corporations; GOCC) ในราคา 36 เปโซต่อกิโลกรัม (19.81 บาทต่อกิโลกรัม) ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภคและเกษตรกรในท้องถิ่นด้วยการจำหน่ายข้าวในราคาที่ลดลง รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังซื้อข้าวเปลือกสำหรับการเก็บสำรองข้าวในประเทศ ทั้งนี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินจะมีผลจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยจะมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องสำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry; BPI) กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ เปิดเผยข้อมูลการนำเข้าข้าวปี 2567 มีปริมาณ 4.68 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 3.56 ล้านตัน รองลงมา ได้แก่ ไทยปริมาณ 598,157 ตัน และปากีสถาน ปริมาณ 283,517 ตัน ตามลำดับ
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 เปโซ เท่ากับ 0.5503 บาท
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร