สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 17, 2025 13:56 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2568

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การผลิต

1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.020 ล้านไร่ ผลผลิต 27.007 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.098 ล้านไร่ ผลผลิต 26.934 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.13 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 และร้อยละ 0.23 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกรมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนภายหลังจากที่เพาะปลูกแล้วเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับราคาที่เกษตรกรขายได้ยังจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษา ถึงแม้ว่าในบางจังหวัดประสบอุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2567 มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้ผลผลิตเสียหาย และบางพื้นที่มีการระบาดของแมลงหวี่ขาว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และไม่พบการระบาดของโรคและแมลง ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น

คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.149 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.55 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 26.895 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 99.59 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด คงเหลือผลผลิตที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดอีกประมาณ 0.112 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 0.41 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด

2) ข้าวนาปรัง ปี 2568 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 12.005 ล้านไร่ ผลผลิต 7.864 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 655 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.125 ล้านไร่ ผลผลิต 6.560 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 648 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก ปี 2567 ร้อยละ 18.57 ร้อยละ 19.88 และร้อยละ 1.08 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2567 และคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 จะทำให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ รวมถึงน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเมื่อต้นฤดูกาลเพาะปลูกมีปริมาณมากกว่าปีที่แล้ว จูงใจให้เกษตรบางส่วนขยายเนื้อที่เพาะปลูกในที่นาที่เคยปล่อยว่าง เพื่อปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีน้ำเพียงพอต่อต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว

คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 0.679 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 8.63 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2568 ปริมาณรวม 5.33 ล้านตันข้าวเปลือก หรือร้อยละ 67.73 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,275 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,196 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.52

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,809 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,822 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 33,817 บาท ราคาลดลงจากตันละ 34,350 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.55

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,117 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,650 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.90

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 940 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,620 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 959 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,124 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.98 และลดลงในรูปเงินบาท ตันละ 504 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 430 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,465 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตัน 453 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,174 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.08 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 709 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 442 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,868 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 469 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,710 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.76 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 842 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.6385 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

1) ไทย

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การส่งออกข้าวไทยในเดือนกุมภาพันธ์ว่า ตลาดค้าข้าวโลกมีความผันผวนอย่างมาก คำสั่งซื้อใหม่หยุดชะงัก และปริมาณข้าวทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ราคาข้าวทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อระบบการค้า โดยประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศชะลอการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ทำไว้เดิม และบางบริษัทได้ยกเลิกสัญญาที่ตกลงไว้ตั้งแต่ปลายปี 2567 เนื่องจากราคาข้าวที่ตกลงกันไว้ในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 สูงกว่าราคาข้าวในต้นเดือนกุมภาพันธ์ค่อนข้างมาก รวมทั้งราคาข้าวไทยกลับมาสูงกว่าประเทศคู่แข่งเกือบทุกชนิด

โดยราคาส่งออกข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งประมาณตันละ 50 ? 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 1,682 ? 2,018 บาท) ซึ่งราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 430 ? 440 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 14,465 ? 14,801 บาท) ขณะที่ข้าวเวียดนามราคาต่ำกว่าข้าวไทยที่ตันละ 390 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 13,119 บาท) และยังต่ำกว่าราคาข้าวของอินเดียอีกด้วยสาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะประเทศผู้นำเข้าอย่างอินโดนีเซียได้หยุดการซื้อข้าวหลังจากราคาข้าวต่ำกว่าที่ตกลงซื้อไว้ประมาณตันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 3,364 บาท) อินโดนีเซียจึงได้ปรับเงื่อนไขในสัญญาใหม่ โดยกำหนดให้ผู้ขายต้องส่งมอบข้าวให้แล้วเสร็จภายใน 31 มกราคม 2568 หากไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนดจะขอยกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นการยกเลิกจากเงื่อนไขเดิมที่ให้ชะลอการส่งมอบและเจรจาราคากันใหม่ ทำให้ผู้ส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากการถูกยกเลิกสัญญา นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าสำคัญ ได้สั่งชะลอการนำเข้าข้าวก่อน เนื่องจากปริมาณข้าวในสต็อกยังสูงจากการนำเข้าข้าวในปีก่อน และราคาขายในประเทศยังไม่ลดลง จึงต้องหยุดการนำเข้าข้าว โดยส่วนใหญ่ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากเวียดนาม เมื่อหยุดการนำเข้าเพิ่ม ส่งผลให้ราคาข้าวเวียดนามลดลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีปริมาณสต็อกข้าวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เวียดนามจำเป็นต้องเทขายข้าวก่อนที่ผลผลิตข้าวรอบใหม่จะออกสู่ตลาดในเดือนมีนาคม 2568 และเป็นช่วงเดียวกับที่ผลผลิตข้าวนาปรังรอบแรกของไทยจะออกสู่ตลาดเช่นกัน

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, มติชนออนไลน์

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.6385 บาท

2) ญี่ปุ่น

นายทาคุ เอโตะ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries; MAFF) เปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนระบายข้าวจากสต็อกจำนวน 210,000 ตัน เพื่อให้การกระจายข้าวในประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยให้ตลาดข้าวกลับสู่ภาวะปกติหลังจากที่ราคาข้าวได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยข้าวในสต็อกจะส่งมอบให้กับผู้ค้าส่งในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2568 หลังการประมูล และคาดว่าจะวางจำหน่ายในร้านค้าช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนเมษายน 2568 ข้าวที่ถูกระบายออกส่วนใหญ่มาจากฤดูการเก็บเกี่ยวในปี 2567 และบางส่วนมาจากปี 2566 แม้ว่าข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในปี 2567 จะมีปริมาณ 6,790,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 180,000 ตัน แต่ปริมาณที่ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ได้รับในช่วงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 กลับลดลง 210,000 ล้านตัน กระทรวงเกษตรฯ คาดว่า ผู้ค้าส่งและเกษตรกรจะกักตุนข้าวไว้ เนื่องจากคาดว่าราคาจะปรับสูงขึ้นอีก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อให้สามารถระบายข้าวจากสต็อกได้ และเตรียมรับมือกับราคาข้าวที่อาจปรับสูงขึ้น

นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ผลผลิตตกต่ำ ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนจะขายข้าวสารที่เก็บไว้ให้กับสหกรณ์การเกษตรและผู้ค้าส่งรายอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลสามารถซื้อกลับคืนในปริมาณเท่าเดิมกันภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาข้าวตกต่ำเกินไป

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


แท็ก ข้อมูล  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ