สศก. ติดตามยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร โชว์ผลสำเร็จ สินค้าปศุสัตว์-ประมงที่ได้รับรอง สร้างมูลค่าเพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 26, 2025 14:07 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการติดตามโครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร ด้านปศุสัตว์และประมง โดยภาพรวมการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2567 พบว่าดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีสถานประกอบการสินค้าปศุสัตว์และอุตสาหกรรมฮาลาลด้านปศุสัตว์ได้รับการตรวจสอบรับรองคุณภาพสินค้าปศุสัตว์แล้ว 72,137 แห่ง (ร้อยละ 136.15 ของเป้าหมาย 52,985 แห่ง) ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับการตรวจประเมิน 15,724 แห่ง (ร้อยละ 102.18 ของเป้าหมาย 15,388 แห่ง) รวมทั้งตรวจประเมินสถานที่ผลิต/แปรรูปสัตว์น้ำ และสถานประกอบการอื่นๆ 1,790 แห่ง (ร้อยละ 108.09 ของเป้าหมาย 1,656 แห่ง)

สำหรับปีงบประมาณ 2568 สศก. ยังคงติดตามผลการดำเนินงานด้านปศุสัตว์และประมงอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายภาพรวมทั้งประเทศ ในการตรวจสอบรับรองประเมินฟาร์มโรงงาน และร้านค้าจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์กำหนด 52,958 แห่ง รวมทั้งมีเป้าหมายตรวจประเมินฟาร์มสัตว์น้ำมาตรฐานและสุขอนามัยฟาร์ม ตรวจประเมินสถานที่ผลิต/แหล่งแปรรูป/ห้องปฏิบัติการ รวม 17,005 แห่ง เบื้องต้นจากการลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานภาพรวมระยะ 4 เดือน (ต.ค 67 - ม.ค. 68) มีฟาร์มโรงงานและร้านค้าจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ได้รับการตรวจสอบแล้ว 39,458 แห่ง (ร้อยละ 74.51 ของเป้าหมาย) ฟาร์มสัตว์น้ำ สถานที่ผลิต/แหล่งแปรรูป/ห้องปฏิบัติการได้รับการตรวจประเมินแล้ว 5,145 แห่ง (ร้อยละ 30.26 ของเป้าหมาย)

นอกจากนี้ ได้ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ พบว่า สำนักงาน ปศุสัตว์จังหวัด ดำเนินกิจกรรมตรวจสอบรับรองคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ โดยดำเนินการตรวจสอบรับรองคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ให้แก่เกษตรกร/ผู้ประกอบการแล้ว 540 แห่ง (ร้อยละ 63.31 ของเป้าหมาย 853 แห่ง) และสำนักงานประมงจังหวัด ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพสินค้าประมงสู่มาตรฐานโดยเตรียมความพร้อมในการตรวจประเมินฟาร์มมาตรฐาน ให้เกษตรกร/ผู้ประกอบการผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ แล้ว 31 ราย (ร้อยละ 53.45 ของเป้าหมาย 58 ราย) โดยจะเน้นไปที่เกษตรกร/ผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นต้องใช้ใบรับรองเพื่อประกอบการค้าขายก่อนเป็นลำดับแรก

เบื้องต้นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ที่เข้าร่วมโครงการในปี 2567 พบว่า เกษตรกรได้รับการ ติดตาม แนะนำ ให้คำปรึกษา จากเจ้าหน้าที่ โดยเป็นการให้คำแนะนำด่านการเลี้ยง การแจ้งเตือนการต่ออายุใบรับรองมาตรฐานฟาร์ม GAP การเก็บตัวอย่างจากฟาร์มไปตรวจวิเคราะห์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาด การให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิควิธีการเลี้ยง การป้องกันรักษาโรคเบื้องต้น รวมถึงมีการช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ กรณีที่เกษตรกรมีการร้องขอ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายน้ำนมดิบให้สหกรณ์โคนมฯ ได้ในราคาเฉลี่ย 21.95 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.43) อีกทั้ง สมาชิกที่บริหารจัดการฟาร์มได้ตามมาตรฐาน GAP จะได้รับค่าน้ำนมดิบเพิ่มประมาณ 0.20 - 0.50 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม เกษตรกรยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการจดบันทึกข้อมูลการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกำหนดที่ต้องถือปฏิบัติ จึงควรให้คำแนะนำ เกษตรกรเห็นถึงความสำคัญที่ได้จากการจดบันทึกข้อมูล ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ เจ้าหน้าที่ของกรมประมงในพื้นที่มีการเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรมีความพร้อมในการตรวจประเมินฟาร์มมาตรฐาน และสุขอนามัยฟาร์ม จากนั้นจะดำเนินการส่งรายชื่อเกษตรกร/ผู้ประกอบการดังกล่าว เข้ารับการตรวจประเมินมาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย จากการสำรวจ พบว่า ราคาเฉลี่ยของกุ้งขาวที่เกษตรกรจำหน่ายได้คือ 165 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.13)

ด้านการเชื่อมโยงด้านตลาด พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ผลิตสินค้าเกษตรแบบพันธสัญญา (contract farming) กับบริษัทเอกชนที่รับซื้อในราคาที่ตกลงกันตั้งแต่ต้น เรียกว่าราคาประกัน ซึ่งสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงทางด้านรายได้ให้แก่เกษตรกรเมื่อทำการเกษตรสมัยใหม่ และผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของตลาด สำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งในจังหวัดเพชรบุรี ตั้งชมรมผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มในการเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้รับซื้อ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2564 และมีการจัดงานมหกรรมเกี่ยวกับกุ้งทุกปี โดยมีการเชิญเกษตรกรที่มีความเชี่ยวชาญในการเลี้ยงกุ้งมาแบ่งปันความรู้ รวมถึงเชิญผู้ผลิตลูกกุ้ง ผู้รับซื้อกุ้ง ผู้ขายอาหารกุ้งมาเจรจาระหว่างกัน นอกจากนี้ ด้านมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัย ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยในปี 2566 กับปี 2567 ของเกษตรกร/ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าปศุสัตว์และสัตว์น้ำปลอดภัย พบว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการ (ปี 2566) เกษตรกรมีมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยเฉลี่ยรายละ 4,109,171.31 บาทต่อปี และหลังเข้าร่วมโครงการ (ปี 2567) เกษตรกรมีมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยเฉลี่ยรายละ 4,421,936.57 บาทต่อปี (เพิ่มขึ้นเฉลี่ยรายละ 312,765.26 บาทต่อปี หรือคิดเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.61)

***********************************

ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์ / ข้อมูล : ศูนย์ประเมินผล

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ