สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดการณ์ผลผลิตมันสำปะหลังปี 52 มีมากเฉียด 29 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ของตลาดส่งออกชะลอตัวและน่าจะมีแนวโน้มลดลง เหตุเพราะผลผลิตธัญพืชของโลกมีเพิ่มขึ้น จะทำให้หัวมันสดฤดูใหม่ที่จะออกสู่ตลาดมากตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ มีราคาต่ำลงกว่าปีก่อน แต่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงตามทิศทางราคาข้าวโพด
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2552 (ต.ค.51- ก.ย.52) ที่คาดการณ์โดย สศก. ว่าจะมีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 7.824 ล้านไร่ ผลผลิต 28.891 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.77 และ13.01 ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากราคาหัวมันสำปะหลังปี 2551 จูงใจ จึงทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก
ขณะที่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในส่วนของตลาดส่งออกคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จีนมีการนำเข้ามันเส้นในปริมาณมากเพื่อผลิตแอลกอฮอล์โดยส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในกีฬาโอลิมปิค ที่ขณะนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ส่วนตลาดมันอัดเม็ด สหภาพยุโรปมีผลผลิตธัญพืชมากขึ้นจึงยังไม่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากไทย สำหรับตลาดในประเทศคาดว่าความต้องการการใช้จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ยกเว้นเอทานอล หากมีการปรับราคาเอทานอลให้สูงขึ้นก็จะส่งผลให้มีการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการขายเอทานอลได้ผลตอบแทนคุ้มกับการลงทุน
เนื่องจากผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังยังคงพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลักถึงร้อยละ70 หากระดับราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังใกล้เคียงราคาธัญพืชทดแทนมากก็จะส่งผลให้อุปสงค์น้อยกว่าอุปทานและส่งผลต่อเนื่องถึงราคาที่เกษตรกรขายได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาที่เกษตรกรขายได้ยังคงอยู่ในเกณฑ์สูงตามทิศทางราคาข้าวโพด แม้ว่าจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาก็ตาม โดยในปี 2551(ต.ค.50 —ก.ย.51) ราคาเกษตรกรขายได้ ณ ไร่นาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.93 บาท และคาดว่าปี 2552 ราคาน่าจะอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 1.70 บาท
นายอภิชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่สูงขึ้น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร จึงมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรชะลอการขุดหัวมันสำปะหลัง เพื่อมิให้หัวมันกระจุกตัว ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง มกราคม และเร่งให้มีการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เพื่อดูดซับอุปทานส่วนเกิน โดยพิจารณาการกำหนดราคาเอทานอลให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการผลิตได้อีกทั้งดำเนินการจัดทำโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ในกรณีที่มีปัญหาราคาตกต่ำ
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2552 (ต.ค.51- ก.ย.52) ที่คาดการณ์โดย สศก. ว่าจะมีเนื้อที่เก็บเกี่ยว 7.824 ล้านไร่ ผลผลิต 28.891 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.77 และ13.01 ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากราคาหัวมันสำปะหลังปี 2551 จูงใจ จึงทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก
ขณะที่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในส่วนของตลาดส่งออกคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จีนมีการนำเข้ามันเส้นในปริมาณมากเพื่อผลิตแอลกอฮอล์โดยส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในกีฬาโอลิมปิค ที่ขณะนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ส่วนตลาดมันอัดเม็ด สหภาพยุโรปมีผลผลิตธัญพืชมากขึ้นจึงยังไม่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากไทย สำหรับตลาดในประเทศคาดว่าความต้องการการใช้จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ยกเว้นเอทานอล หากมีการปรับราคาเอทานอลให้สูงขึ้นก็จะส่งผลให้มีการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการขายเอทานอลได้ผลตอบแทนคุ้มกับการลงทุน
เนื่องจากผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังยังคงพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลักถึงร้อยละ70 หากระดับราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังใกล้เคียงราคาธัญพืชทดแทนมากก็จะส่งผลให้อุปสงค์น้อยกว่าอุปทานและส่งผลต่อเนื่องถึงราคาที่เกษตรกรขายได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาที่เกษตรกรขายได้ยังคงอยู่ในเกณฑ์สูงตามทิศทางราคาข้าวโพด แม้ว่าจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาก็ตาม โดยในปี 2551(ต.ค.50 —ก.ย.51) ราคาเกษตรกรขายได้ ณ ไร่นาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.93 บาท และคาดว่าปี 2552 ราคาน่าจะอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 1.70 บาท
นายอภิชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่สูงขึ้น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร จึงมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรชะลอการขุดหัวมันสำปะหลัง เพื่อมิให้หัวมันกระจุกตัว ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง มกราคม และเร่งให้มีการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เพื่อดูดซับอุปทานส่วนเกิน โดยพิจารณาการกำหนดราคาเอทานอลให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการผลิตได้อีกทั้งดำเนินการจัดทำโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ในกรณีที่มีปัญหาราคาตกต่ำ
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-