สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยความกดอากาศสูงจากจีนที่แผ่ปกคลุมไทย ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงกว่าปกติ เกรงส่งผลกระทบต่อผลผลิตสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวนาปรังที่กำลังเริ่มปลูก แนะเกษตรกรติดตามสภาพการเจริญเติบโตและสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากอากาศที่หนาวเย็นหลายระลอก ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถึงช่วงต้นเดือนมกราคมปีนี้ เนื่องจากความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงกว่าค่าปกติ ซึ่งหลายฝ่ายเกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตของสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวนาปรังที่กำลังเริ่มปลูก และเจริญเติบโตอยู่ในขณะนี้
โดยสภาพอากาศหนาวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 — 20 องศาเซลเซียสลงไป จะส่งผลต่อผลผลิตข้าวมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยสำคัญได้แก่ พันธุ์ข้าว ซึ่งจะทนทานต่อสภาพอากาศหนาวได้ไม่เหมือนกัน เช่น พันธุ์ข้าวพิษณุโลก 2 ชัยนาท 1 และปทุมธานี 1 เป็นพันธุ์ที่อ่อนแอต่อสภาพอากาศเย็นมาก รวมทั้งพันธุ์หนักหรือพันธุ์เบาก็มีผลต่อการฟื้นตัวของต้นข้าวหลังเจออากาศหนาว เป็นต้น
นอกจากนี้ระยะการเจริญเติบโต ก็มีผลกระทบที่แตกต่างกันโดยข้าวที่อยู่ในระยะแตกกอ จะหยุดชะงักการเจริญเติบโต ต้นข้าวเหลือง ส่วนข้าวที่กำลังตั้งท้องหรือออกรวง การเจริญเติบโตของเมล็ด (หรือการเติมแป้ง) หยุดชะงัก แต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นปกติ (ตั้งแต่ 20 องศาเซลเซียสขึ้นไป) ข้าวก็จะเจริญเติบโตดังเดิม ส่วนช่วงที่มีผลกระทบมากที่สุดและมีผลโดยตรงต่อผลผลิตข้าว คือ ช่วงข้าวออกดอก ทำให้ผสมเกสรไม่ติด ผลผลิตข้าวอาจลดลงมาก
สำหรับสถานการณ์การผลิตข้าวปัจจุบัน ในแหล่งผลิตสำคัญลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่าง ถึงภาคกลางตอนบน เช่น จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา เป็นต้น ข้าวส่วนใหญ่ปลูกในเดือนมกราคม 2552 และกำลังอยู่ในระยะแตกกอ อากาศหนาวจะส่งผลให้ข้าวหยุดชะงักการเจริญเติบโต และอาจส่งผลให้ผลผลิตข้าวนาปรังลดลงเล็กน้อย อาจจะมีผลกระทบบ้างในเรื่องการปลูกข้าวที่จะล่าช้าออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศหนาว รวมถึงผลผลิตข้าวที่จะเก็บเกี่ยวล่าช้ากว่าปกติ โดยมีเพียงบางส่วนในภาคกลางที่ข้าวอยู่ในระยะตั้งท้อง และออกดอก ซึ่งผลกระทบจากอากาศหนาวต่อผลผลิตข้าวจะมากหรือน้อยยังคงต้องติดตามสภาพการเจริญเติบโต และอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดต่อไป
นายอภิชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า การปลูกข้าวนาปรังเริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2551 ถึง 30 เมษายน 2552 โดยปลูกมากในเดือนมกราคม ประมาณร้อยละ 29 หรือ 3.121 ล้านไร่ เดือนกุมภาพันธ์ ร้อยละ 22 หรือ 2.323 ล้านไร่ เดือนมีนาคม ร้อยละ 19 หรือ 2.059 ล้านไร่ ของเนื้อที่เพาะปลูกทั้งประเทศ ซึ่งการปลูกข้าวอาจชะลอออกไป ตามสภาพอากาศที่หนาวเย็น
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--