สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยผลการติดตามสถานการณ์การผลิตมันสำปะหลัง คาดอาจลดลงจากที่เคยประมาณการไว้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สาเหตุเพราะเกษตรกรเปลี่ยนแนวหันไปปลูกข้าวโพดและอ้อยเพิ่มขึ้น บวกกับพื้นที่หลายแห่งเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และการระบาดของเพลี้ยแป้ง ชี้ปีนี้เป็นปีแรกที่รัฐบาลเริ่มทำโครงการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร 3 พืชหลัก แนะผู้ที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการประชาคมรับรองแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนขายผลผลิต
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยผลการติดตามสถานการณ์การผลิตมันสำปะหลังว่า เกษตรกรมีการเปลี่ยนแปลงหันไปปลูกข้าวโพดและอ้อยเพิ่มขึ้น ประกอบกับพื้นที่ปลูกหลายแห่งเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และมีการระบาดของเพลี้ยแป้งเพิ่มเติม ทำให้คาดการณ์ได้ว่าผลผลิตมันสำปะหลังน่าจะลดลงจาก 27.76 ล้านตัน จากที่ได้ประมาณการในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ซึ่งผลจากการระบาดของเพลี้ยแป้งในแหล่งปลูกมันสำปะหลังตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังได้หันไปปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และอ้อยโรงงานทดแทน ประกอบกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาอ้อยขั้นต้นปีนี้สูงถึง 830 บาทต่อตัน นอกจากนี้ยังพบพื้นที่การระบาดซ้ำของเพลี้ยแป้งอีกหลายแหล่ง เช่น กาญจนบุรี สระบุรี ลพบุรี นครราชสีมา โดยประมาณการเบื้องต้นคาดว่าผลผลิตในแปลงมันสำปะหลังอายุ 5 — 8 เดือนที่พบการระบาดรุนแรง จะมีความเสียหาย 40 —60 %
ทั้งนี้ เกษตรกรจำเป็นต้องหมั่นตรวจแปลงมันสำปะหลัง หากตรวจพบเพลี้ยแป้งจะต้องทำการควบคุมทันที และควรรวมกลุ่มเพื่อติดตามสถานการณ์การระบาดและการเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์ในพื้นที่เพื่อป้องกันมิให้การระบาดขยายวงกว้างกว่าเดิม ส่วนการปลูกใหม่จะต้องหาต้นพันธุ์จากแหล่งที่ไม่มีการระบาดของเพลี้ย ต้องแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีไทอะมิโทแชมก่อนปลูก รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มเพื่อผลิตขยายศัตรูธรรมชาติเพื่อใช้ควบคุมเพลี้ยแป้ง โดยเกษตรกรสามารถสอบถามวิธีการป้องกันกำจัดได้จากเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่
ด้านนางนารีณัฐ รุณภัย รองเลขาธิการและรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่รัฐบาลได้เริ่มทำโครงการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยนำร่อง 3 สินค้าหลักได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ซึ่งมี 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ การขึ้นทะเบียนและทำประชาคมรับรองการผลิต การทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. และการใช้สิทธิสัญญาประกันรายได้ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยไม่ต้องส่งมอบสินค้า ทั้งนี้ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการประชาคมรับรองแล้วอย่ารีบร้อนขายผลผลิต จะต้องทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. ก่อน จากนั้นติดตามสถานการณ์ราคาตลาดอ้างอิงเพื่อใช้สิทธิสัญญาประกันรายได้ตามเวลาที่กำหนด และรอราคาเพื่อขายผลผลิต
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--