สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ ไม่ควรนำเมล็ดพันธุ์ลักลอบมาปลูก และให้วางแผนการผลิตอย่างกระจาย ไม่กระจุกตัว เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาดช่วงฤดูกาลที่จะถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 53
นายมณฑล เจียมเจริญ รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการประมาณการหอมหัวใหญ่ ในปี 2553 ซึ่งคาดว่าจะมีเนื้อที่เพาะปลูกรวมทั้งประเทศประมาณ 10,315 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 1.82 โดยจะมีผลผลิตรวมทั้งประเทศประมาณ 46,108 ตัน เพิ่มขึ้น จากปีที่แล้วร้อยละ 2.51 แยกเป็นจังหวัดเชียงใหม่ 39,702 ตัน เชียงราย 3,284 ตัน นครสวรรค์ 1,471 ตัน และกาญจนบุรี 1,651 ตัน ด้านสถานการณ์การผลิตคาดว่า แม้ทางภาครัฐจะยังคงมีนโยบายรักษาระดับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยควบคุมเมล็ดพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศเช่นทุกปี แต่ปี 2552 ที่ผ่านมา พบว่าราคาหอมหัวใหญ่ชนิดคละที่เกษตรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 5.58 บาท ซึ่งจูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาดีขึ้น จึงมีแนวโน้มที่จะนำเมล็ดพันธุ์ลักลอบเข้ามาปลูกเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มผลผลิต
สำหรับสถานการณ์ตลาดและราคาคาดว่า ปริมาณการบริโภคในประเทศยังคงต้องการอย่างต่อเนื่อง แต่การส่งออกหอมหัวใหญ่ไปตลาดญี่ปุ่นจะน้อยลง เนื่องจากญี่ปุ่นสามารถผลิตได้พอกับความต้องการ มีการพัฒนาพันธุ์ที่เก็บรักษาได้นาน ทดแทนการนำเข้าได้ ประกอบกับการผลิตในประเทศยังคงเป็นการผลิตที่ผลผลิตออกมากระจุกตัวออกมาพร้อมกัน การเก็บรักษาไว้ได้ไม่นานทำให้ล้นตลาดในบางช่วงได้ และยิ่งจะมีผลกระทบมากขึ้นหากเกษตรกรนำเมล็ดพันธุ์นอกระบบลักลอบเข้ามาปลูกเพิ่มทำให้ผลผลิตมากขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้ สศก.ได้เข้าร่วมประชุมกับชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาต่อไปแล้ว ซึ่งอยากขอความร่วมมือเกษตรกรอย่านำเมล็ดพันธุ์ลักลอบมาเพาะปลูก รวมทั้งให้เตรียมการวางแผนเพาะปลูก เพื่อให้ผลผลิตออกมาไม่กระจุกตัวในช่วงฤดูกาลจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2553
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--