สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยผลการศึกษาความเหมาะสมในการลงทุนผลิตลำไยนอกฤดูภาคเหนือ พบเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรในการกระจายผลผลิตให้ออกสู่ตลาดตลอดทั้งปี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาราคาตกต่ำและเป็นการยกระดับรายได้ของเกษตรกร แนะควรเร่งจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์ผู้ผลิตลำไยนอกฤดูในพื้นที่การผลิตสำคัญ เพื่อให้การส่เงเสริมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ลำไยถือเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่มีความสำคัญชนดหนึ่งของไทย ซึ่งแต่ละปีสามารถส่งออกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ทั้งในรูปของการส่งออกลำไยสด ลำไยอบแห้ง และผลิตภัณฑ์รวมกันปีละกว่า 5พันล้านบาท โดยผลผลิตส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 อยู่ในภาคเหนือ แต่เมื่อถึงช่วงฤดูกาลที่ลำไยให้ผลผลิตคือ ในเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม เกษตรกรมักประสบกับปัญหาราคาตกต่ำ จนภาครัฐต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือเป็นประจำทุกปี ในขณะที่ความต้องการของตลาดจีนที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่มีเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายน — ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และงานฉลองวันชาติจีน และในช่วงเดือนธันวาคม — กุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน ดังนั้น หากเกษตรกรสามารถกระจายผลผลิตให้ออกในช่วงเวลาที่ตลาดต้องการแล้ว ก็จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาราคาลำไยตกต่ำได้อย่างยั่งยืน
ด้านนางนารีณัฐ รุณภัย รองเลขาธิการ สศก. เปิดเผยถึงผลการศึกษาเบื้องต้น โดยใช้แนวคิดการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์และการวิเคราะห์โครงการทางการเงินเพื่อศึกษาความคุ้มค่าในการผลิตลำไยนอกฤดู พบว่า เกษตรกรควรมีงบลงทุนเริ่มแรกแปลงละประมาณ 70,000 — 90,000 บาท (ประมาณ 5 ไร่) เพื่อใช้ในการวางระบบน้ำ การขุดบ่อน้ำบาดาล รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายต่อไร่ในการปลูกลำไย และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องฉีดพ่นวัชพืชและกำจัดแมลง โดยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาปีที่ 1 — 4 เฉลี่ยปีละ 3,000 — 4,000 บาท ปีที่ 5 — 10 เฉลี่ยตั้งแต่ไร่ละ 7,000 — 13,000 บาท และปีที่ 11 — 20 เฉลี่ยตั้งแต่ไร่ละ 15,000 — 18,000 บาท
ซึ่งจากการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุนผลิตลำไยนอกฤดู พบว่า หากเกษตรกรแบ่งพื้นที่ 1 ไร่ เพื่อผลิตลำไยนอกฤดู จะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ 39,690 บาท / ไร่ มีอัตราผลตอบแทนจากโครงการ ร้อยละ 16 มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อทุน 1.25 มีระยะเวลาคืนทุน 9 ปี และเมื่อวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการ โดยกำหนดให้ราคาที่เกษตรกรขายได้ลดลงร้อยละ 10 และกำหนดให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากที่คาดการณ์ไว้ พบว่า โครงการนี้ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ในการลงทุน ดังนั้น การลงทุนผลิตลำไยนอกฤดูของเกษตรกรถือว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน
ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น ภาครัฐควรเร่งจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์ผู้ผลิตลำไยนอกฤดูในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญ เพื่อให้การส่งเสริมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การให้ความรู้ในการผลิตลำไยนอกฤดู สามารถติดตามประเมินผลในรูปแบบของโครงการได้ โดยจัดหาเงินทุนหมุนเวียนในเงื่อนไขผ่อนปรน เพื่อใช้ในการปรับปรุงและลงทุนในระบบน้ำ รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลลำไยของเกษตรกร รวมทั้งประสานกับผู้ส่งออกในการหาตลาดและกำหนดช่วงเวลาและปริมาณผลผลิตที่ต้องการรับซื้อในแต่ละเดือน เพื่อพัฒนาไปสู่การทำสัญญาซื้อขายแบบมีข้อตกลง (Contract Farming) ตลอดจนสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่อไป
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--