ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร: ข้าว

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การตลาด

1.1.1 โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 (รอบ1)

• ระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ข้าวเปลือกนาปี เดือนกรกฎาคม — 31 ตุลาคม 2552 สำหรับภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้ขยายเวลาถึง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553
• เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนการปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร และทำประชาคมรับรองการผลิต
• เกษตรกรที่ได้ใบรับรองการผลิตหลังจากทำประชาคมแล้ว สามารถนำไปทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม — 30 พฤศจิกายน 2552 ยกเว้นภาคใต้ ถึงเดือน 31 มีนาคม 2553 )
• การจัดทำสัญญาประกันรายได้ โดย ธ.ก.ส. สาขาที่เป็นภูมิลำเนา/ต้นที่ปลูก ตั้งแต่เดือน สิงหาคม -15 ธันวาคม 2552 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2552 - 15 เมษายน 2553
• ระยะเวลาใช้สิทธิ์ประกันรายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552- 28 กุมภาพันธ์ 2553 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ — 31 พฤษภาคม 2553
• ราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกร กำหนดปริมาณและราคาประกันรายได้เกษตรกรต่อครัวเรือน ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้

             - ข้าวเปลือกหอมมะลิ    ตันละ 15,300 บาท           ไม่เกิน  14 ตัน / ครัวเรือน
             - ข้าวเปลือกหอมจังหวัด  ตันละ 14,300 บาท           ไม่เกิน  16 ตัน / ครัวเรือน
             - ข้าวเปลือกเจ้าตันละ   ตันละ 10,000 บาท           ไม่เกิน  25 ตัน / ครัวเรือน
             - ข้าวเปลือกปทุมธานี    ตันละ 10,000 บาท           ไม่เกิน  25 ตัน / ครัวเรือน
             - ข้าวเปลือกเหนียว     ตันละ  9,500 บาท           ไม่เกิน  16 ตัน / ครัวเรือน

• ระยะเวลาโครงการ เดือนกรกฎาคม 2552 — กรกฎาคม 2553

การเกษตร

1.1.2 โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 (รอบ2)

• ระยะเวลาประชาสัมพันธ์ 1 ธันวาคม 2552 — 31 กรกฎาคม 2553
• ระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเกษตรกร1 มกราคม — 30 เมษายน 2553 (ภาคใต้ 1 เมษายน — 31กรกฎาคม 2553
• ระยะเวลาประชาคม 6 มกราคม - 15 พฤษภาคม 2553 (ภาคใต้ 6 เมษายน — 15 สิงหาคม 2553)
• ระยะเวลาออกหนังสือรับรอง 15 มกราคม — 20 พฤษภาคม 2553 (ภาคใต้ 15 เมษายน — 20 สิงหาคม 2553)
• การจัดทำสัญญาประกันรายได้ 20 มกราคม — 30 พฤษภาคม 2553 (ภาคใต้ 20 เมษายน — 30 สิงหาคม 2553)
• การใช้สิทธิ์ประกันรายได้ 21 มกราคม — 31 กรกฎาคม 2553 (ภาคใต้ 21 เมษายน — 31 ตุลาคม 2553)
• ราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกร กำหนดปริมาณและราคาประกันรายได้เกษตรกรต่อครัวเรือน ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้
• ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ตันละ 11,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน / ครัวเรือน

             - ข้าวเปลือกเจ้า       ตันละ 10,000 บาท      ไม่เกิน  25 ตัน / ครัวเรือน
             - ข้าวเปลือกเหนียว     ตันละ  9,500 บาท      ไม่เกิน  16 ตัน / ครัวเรือน

ภาวการณ์ซื้อขายข้าวในสัปดาห์นี้ ราคามีแนวโน้มลดลงจากสัปดาห์ก่อนในทุกตลาดข้าว ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีข้าวเพียงพอต่อการส่งมอบให้ลูกค้า ประกอบกับไม่มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเดิมและลูกค้ารายใหม่เข้ามาในล็อตใหญ่ ผู้ส่งออกจึงไม่ออกมาซื้อข้าวในตลาด ขณะเดียวกัน ผลผลิตข้าวนาปรังปี 2553 ก็ทยอยออกสู่ตลาดมากและข้าวส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำ เนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้งและบางแหล่งกระทบการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำให้ข้าวเกี่ยวก่อนเวลา มีข้าวเมล็ดรีบและท้องไข่ จึงถูกพ่อค้ากดราคารับซื้อต่ำลง สำหรับข้าวเหนียว ราคากลับสูงขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากตลาดจีนเข้ามา

การส่งออก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม — 19 มีนาคม 2553 ประเทศไทยส่งออกข้าวทั้งหมด จำนวน 1,987,441 ตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 1,950,442 ตันข้าวสาร ของการส่งออกข้าวในช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.90 (ที่มา: กรมการค้าภายใน)

1.2 ราคา

ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ราคาข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลินาปี ที่เกษตรกรขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,783 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,780 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02

ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปี 5% ที่เกษตรกรขายได้สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,546 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,619 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85

ราคาข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวนาปี ที่เกษตรขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,640 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,563 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.73

ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปี ความชื้น 14-15% ที่เกษตรกรขายได้สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,546 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,619 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85

ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ราคาข้าวสารเจ้า 5% (ใหม่) ขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,170 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,650 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.28

ราคาส่งออก เอฟ.โอ. บี

ราคาข้าวหอมมะลิไทย ชั้น 1 (ใหม่) ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 998 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ (32,062.25 บาท/ตัน) ราคาคงที่กับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ราคาข้าวปทุมธานี ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 739 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,741.48 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 772 ดอลลาร์สหรัฐ (24,801.66 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.27 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 60.18 บาท

ราคาข้าวสารเจ้า 5% (ใหม่) ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,613.48 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 502 ดอลลาร์สหรัฐ (16,127.50 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.19 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 514.02 บาท

ราคาข้าวสารเจ้า 25% (ใหม่) ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 437 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,039.28 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 452 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,521.18 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.32 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 481.90 บาท

ราคาข้าวนึ่ง 5% ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 524 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,834.29 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ (17,348.31 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.96 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 514.02 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.1265 บาท

2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ

2.1 กัมพูชาส่งออกข้าวไปอิตาลี

กัมพูชา โดย บริษัท Baitang Kampuchea Plc ได้ลงนามความตกลงขายข้าว 562 ตัน หรือ 500,000 เหรียญสหรัฐ(16.06 ล้านบาท)ให้แก่ Italy-based PHAM Distribution SAL ของอิตาลี ซึ่งจะเริ่มมีการส่งข้าวในกลางเดือนเมษายน ที่ราคา 880 เหรียญสหรัฐ/ตัน (28,271.32 บาท) ซึ่งจากภายใต้ความตกลงนี้ บริษัทจะมีประสบการณ์ในการจัดหาข้าวไปยังตลาดคู่ค้าในต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปีถัดไปจะสามารถส่งออกข้าวได้มากถึงหลายหมื่นตัน ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมการพัฒนาสายการผลิตให้รองรับการส่งออกปริมาณที่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัท Baitang ยังได้ทำความตกลงกับโรงสีท้องถิ่น 350 โรง จากจังหวัดที่ผลิตข้าว 10 จังหวัด ในการสร้างเครือข่ายร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการส่งออกข้าวในปริมาณที่มากขึ้น

ปัจจุบัน กัมพูชามีข้าวส่วนเกินสำหรับการส่งออกประมาณ 3 ล้านตัน/ปี มูลค่าประมาณ 13 ล้านเหรียญสหรัฐ (417.64 ล้านบาท) ซึ่งประเทศในแถบยุโรปเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังให้ความสนใจนำเข้าข้าวจากกัมพูชา อาทิ ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส เป็นต้น แต่ยังไม่ได้มีการตกลงเจรจากันอย่างเป็นทางการ

2.2 ราคาข้าวในจีนตอนใต้พุ่ง

ราคาข้าวในร้านส่วนใหญ่ของมณฑลกวางตุ้งเพิ่มขึ้น 10% ในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความแห้งแล้งในพื้นที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ข้าวถุงขนาด 20 กก.ราคาขึ้นไปที่ 55 หยวน (257.10 บาท) ในขณะที่เดือน ม.ค. ราคาข้าวอยู่ที่ระดับ 50 หยวน (233.73 บาท) เท่านั้น นอกจากนี้ ยังกระทบไปถึงการปรับขึ้นของราคาของอาหารและผักอีกหลายชนิด อาทิ ชา ดอกไม้สด และสมุนไพรจีนบางชนิด เป็นต้น และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากจะยังคงมีปัญหาความแห้งแล้งไปจนถึงเดือน พ.ค. ซึ่งผู้ค้าบางรายพยายามที่จะผูกขาดราคาข้าวและสมุนไพรของจีนเพื่อป้องกันปัญหาของราคาที่อาจเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการสืบสวนและลงโทษผู้ที่ขึ้นราคาสินค้าอย่างผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ปัญหาความแห้งแล้งในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจีนจะไม่ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่อราคาธัญพืชทั้งประเทศ เนื่องจากจีนมีการเก็บธัญพืชสำรองไว้เป็นเวลา 6 ปี คือถึงสินปี 2552 ที่ผ่านมา

2.3 เตือนเกษตรกรเวียดนามระวังไวรัสในข้าว

พื้นที่ทางภาคเหนือของเวียดนามประมาณ 300 เฮกตาร์ (1,875 ไร่) กำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในข้าว ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพผลผลิตและทำให้ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวลดลง และแม้ว่าได้มีการส่งสัญญาณว่าสภาพปัญหาดังกล่าวเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่เกษตรกรก็ยังควรระมัดระวังในฤดูการเก็บเกี่ยวในปีนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการป้องกันโรคได้รายงานว่า มี 23 จังหวัด จาก 41 จังหวัด หรือเทียบเท่าพื้นที่ประมาณ 20,360 เฮกตาร์ (127,250 ไร่) โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศ พบการติดเชื้อในที่นา โดยประมาณ 10% ของพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเสียหายทั้งหมด และในบางจังหวัดได้รับความเสียหายมากกว่า 200 เฮกตาร์/วัน (1,250 ไร่/วัน)

ในเบื้องต้นพื้นที่มากกว่า 700 เฮกตาร์ ได้รับการแก้ไขแล้ว ซึ่งรัฐได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการฉีดสารฆ่าเชื้อในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งการให้เงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรประมาณ 4 ล้านดอง/เฮกตาร์ (6,800 บาท/เฮกตาร์) และข้าว 12 กก./เดือน ในระยะเวลา 6 เดือน ในกรณีที่เกิดความสูญเสีย ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าการระบาดของโรคในปีนี้อาจมากกว่าปีที่ผ่านมา

--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ประจำวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2553 --