1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
การตลาด
1. โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 (รอบ1) ขณะนี้ อยู่ในช่วงการใช้สิทธิของเกษตรกรภาคใต้ เท่านั้น
- การจัดทำสัญญาประกันรายได้ โดย ธ.ก.ส. สาขาที่เป็นภูมิลำเนา/ต้นที่ปลูก ตั้งแต่เดือน สิงหาคม - 15 ธันวาคม 2552 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2552 - 15 เมษายน 2553
- ระยะเวลาใช้สิทธิ์ประกันรายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552- 28 กุมภาพันธ์ 2553 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ — 31 พฤษภาคม 2553
- ราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกร กำหนดปริมาณและราคาประกันรายได้เกษตรกรต่อครัวเรือน ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้
- ข้าวเปลือกเจ้าตันละ ตันละ 10,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน / ครัวเรือน - ข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน / ครัวเรือน - ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 9,500 บาท ไม่เกิน 16 ตัน / ครัวเรือน
- ระยะเวลาโครงการ เดือนกรกฎาคม 2552 — กรกฎาคม 2553
ประกาศราคาอ้างอิง โดยประกาศราคาอ้างอิงทุก 7 วัน สำหรับราคาอ้างอิงประจำวันที่ 31 พ.ค. 53
2. โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 (รอบ2)
- ระยะเวลาประชาสัมพันธ์ 1 ธันวาคม 2552 — 31 กรกฎาคม 2553
- ระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเกษตรกร 1 มกราคม — 30 เมษายน 2553 (ภาคใต้ 1 เมษายน — 31 กรกฎาคม 2553
- ระยะเวลาประชาคม 6 มกราคม - 15 พฤษภาคม 2553 (ภาคใต้ 6 เมษายน — 15 สิงหาคม 2553)
- ระยะเวลาออกหนังสือรับรอง 15 มกราคม — 20 พฤษภาคม 2553 (ภาคใต้ 15 เมษายน — 20 สิงหาคม 2553)
- การจัดทำสัญญาประกันรายได้ 20 มกราคม — 30 พฤษภาคม 2553 (ภาคใต้ 20 เมษายน — 30สิงหาคม 2553)
- การใช้สิทธิ์ประกันรายได้ 21 มกราคม — 31 กรกฎาคม 2553 (ภาคใต้ 21 เมษายน — 31 ตุลาคม 2553)
- ราคาและปริมาณประกันรายได้เกษตรกร กำหนดปริมาณและราคาประกันรายได้เกษตรกรต่อครัวเรือน ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้
- ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ตันละ 11,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน / ครัวเรือน - ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ไม่เกิน 25 ตัน / ครัวเรือน - ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 9,500 บาท ไม่เกิน 16 ตัน / ครัวเรือน
- ประกาศราคาอ้างอิง โดยประกาศราคาอ้างอิงทุก 7 วัน สำหรับราคาอ้างอิงประจำวันที่ 31 พ.ค. 53
ภาวการณ์ซื้อขายข้าวในสัปดาห์นี้ ตลาดยังคงซบเซาต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน เนื่องจากผู้ส่งออกยังไม่สามารถหาตลาดใหม่ๆ และคำสั่งซื้อข้าวในปริมาณมากได้ (Lot ใหญ่) ประกอบกับผู้บริโภคต่างประเทศ หันมาบริโภคข้าวสาลีแทนข้าวเนื่องจากข้าวสาลีมีราคาถูกกว่าข้าวมาก โดยเฉพาะประเทศอินเดียและปริเทศแถบแอฟริกา รวมทั้งข้าวนาปรังปี 2553 รอบ 2 เริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้นและความชื้นสูง ทำให้โรงสีซื้อข้าวในราคาต่ำลง
การส่งออก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม — 14 พฤษภาคม 2553 ประเทศไทยส่งออกข้าวทั้งหมด จำนวน 3,025 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจาก 3,161 ล้านตันข้าวสาร ของการส่งออกข้าวในช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.30 (ที่มา: กรมการค้าภายใน)
1.3 ราคา
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ราคาข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลินาปี ที่เกษตรกรขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,013 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,175 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.23
ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปี 5% ที่เกษตรกรขายได้สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,990 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,034 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.54
ราคาข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวนาปี ที่เกษตรขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,999 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,016 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14
ราคาข้าวเปลือกเจ้านาปี ความชื้น 14-15% ที่เกษตรกรขายได้สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 8,275 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,475 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.36
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาข้าวสารเจ้า 5% (ใหม่) ขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,650 บาท ราคาลดลงจากตันละ 12,675 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.20
ราคาส่งออก เอฟ.โอ. บี (สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี)
ราคาข้าวหอมมะลิไทย ชั้น 1 (ใหม่) ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 960 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ (31,028 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 977 ดอลลาร์สหรัฐ (31,524 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.74 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 496 บาท
ราคาข้าวปทุมธานี ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 720 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23,271 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 39 บาท
ราคาข้าวสารเจ้า 5% (ใหม่) ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 445 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,383 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 24 บาท
ราคาข้าวสารเจ้า 25% (ใหม่) ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 391 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,637 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 389 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,552 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 85 บาท
ราคาข้าวนึ่ง 5% ส่งออก เอฟ.โอ.บี. เฉลี่ยตันละ 458 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,803 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 25 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32.3204 บาท
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ
2.1 เวียดนามลดดอง คู่ค้าลดบริโภคถล่มราคาข้าว
จากกรณีที่เวียดนามยังประสบปัญหาเงินเฟ้อและดุลการค้า จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดค่าเงินดองลงอีก ซึ่งจะทำให้ข้าวเวียดนามมีราคาถูกกว่าไทยมาก นอกจากนี้ ประเทศผู้นำเข้าข้าวบางประเทศมีการบริโภคข้าวลดลง โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่คาดว่าอาจจะต้องนำเข้าข้าวในปี 2553 หันไปใช้ข้าวสาลีแทนจึงยังไม่ต้องนำเข้าข้าว ส่วนตลาดแอฟริกาหันไปบริโภคข้าวโพด ทำให้ความต้องการลดลงเช่นกัน
ทั้งนี้ ไทยจึงเตรียมเปิดตลาดสินค้าส่งออกข้าวใหม่ ในประเทศตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศไซบีเรียที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งรัฐบาลจะเร่งระบายข้าวในสต็อกแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งจะทำให้กลไกด้านราคากลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น
2.2 คาดการณ์ผลผลิตข้าวอินเดียแตะ 100 ล้านตัน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการเกษตรของอินเดีย รายงานว่า หากยังเกิดลมมรสุมตามที่ได้เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ จะเป็นปัจจัยส่งผลให้ผลผลิตข้าวของประเทศอาจเพิ่มขึ้นไปสูงถึง 100 ล้านตัน รวมทั้งผลผลิตที่เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นเมล็ด (pulse) จะปรับตัวสูงขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ อินเดียกำลังเร่งส่งเสริมโครงการผลิตพืชที่มีลักษณะเป็นเมล็ด (pulse) เพื่อกระตุ้นผลผลิตไปพร้อมๆ กันด้วย
อนึ่ง ในปี 2551-2552 อินเดียสามารถผลิตพืชที่มีลักษณะเป็นเมล็ด (pulse) ได้ถึง 14.5 ล้านตัน ในขณะที่มีการนำเข้า 3-4 ล้านตัน
2.3 จีนเร่งปลูกมันฝรั่งสร้างความมั่นคงอาหาร
จากเดิมที่จีนเป็นประเทศที่มีการเพาะปลูกข้าวมากในลำดับต้นของโลก แต่จากสภาพการณ์ปัจจุบันที่ประเด็นความมั่นคงอาหารได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและส่งผลกระทบต่อโลก จีนจึงได้เร่งทำการวิจัย ผลิต และฝึกอบรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการบรรเทาปัญหาความยากจนและเป็นปราการในการป้องกันปัญหาการขาดแคลนอาหาร
ความท้าทายในปัญหาอุปทานพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรที่หดตัวลง และการขาดแคลนน้ำเป็นประเด็นหลักที่ต้องให้ความสำคัญ รวมทั้งการแผ่ขยายของสังคมเมืองเข้ามาเบียดบังพื้นที่ทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ จีนได้มีการประเมินว่าในปี 2573 จะมีประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.5 พันล้านคน ทำให้มีปริมาณความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น 100 ล้านตัน/ปี
จากประเด็นปัญหาข้างต้น จีนได้ทำการวิจัยและจะมุ่งเน้นการผลิตมันฝรั่งเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกท่ดีกว่าข้าวและข้าวสาลี เนื่องจากมันฝรั่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อยกว่าและให้ผลตอบแทนทางด้านพลังงานมากกว่าต่อพื้นที่ที่เท่ากัน ทั้งนี้ ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทางตอนใต้ของประเทศ เกษตรกรได้เพาะปลูก
มันฝรั่งในช่วงเว้นปลูกข้าว ซึ่งขณะนี้กำลังพัฒนาสายพันธุ์ที่มาจากต่างประเทศ
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2553--