สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1(มกราคม—มีนาคม)2554(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Friday May 20, 2011 15:02 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(13) หรือ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 3.8 ชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.6 และชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2552ที่ขยายตัวร้อยละ 5.9 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 คือ อุปสงค์ในประเทศชะลอลง ในขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนและรัฐบาลชะลอตัว การลงทุนรวมชะลอตัวต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันการส่งออกสินค้าและบริการสุทธิขยายตัวปรับตัวดีขึ้นเป็นผลมาจากการนำเข้าที่ชะลอตัวมากในไตรมาสนี้ ขณะที่การส่งออกยังคงขยายตัวในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2553

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 4.8 ชะลอลงจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 ที่ขยายตัวร้อยละ 11.6 และชะลอตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 ที่ขยายตัว ร้อยละ 8.7 โดยเป็นผลมาจากการชะลอลงจากการผลิตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากระดับฐานการผลิตสูงจากการขยายการผลิตติดต่อกันหลายไตรมาส

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2554จะขยายตัวร้อยละ 3.5-4.5 ชะลอลงจากปี 2553 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.8

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 พบว่าบางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2553 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการผลิตและการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องแต่งกาย เป็นต้น สำหรับมูลค่าการส่งออกในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.26 (ม.ค.-มี.ค. 54) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2553 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2553

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 187.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (190.0) ร้อยละ 1.2 และลดลงจาก ไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (191.8) ร้อยละ 2.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องประดับเพชรพลอย เบียร์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ Hard Disk Drive เครื่องประดับเพชรพลอย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เบียร์ เครื่องแต่งกาย เป็นต้น

(13) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 191.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา(194.1) ร้อยละ 1.4 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (191.0) ร้อยละ 0.3

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เส้นใยสิ่งทอ อาหารสัตว์สำเร็จรูป เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ ยานยนต์เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 184.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (185.7) ร้อยละ 0.5 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (182.1) ร้อยละ 1.6

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ เส้นใยสิ่งทอ เบียร์ Hard Disk Drive เครื่องแต่งกาย เหล็ก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ Hard Disk Drive ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 62.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 63.3) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553(ร้อยละ 62.8)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม Hard Disk Drive เม็ดพลาสติก เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เหล็ก เครื่องแต่งกาย เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยเฉลี่ยรวมมีค่า 80.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (80.0) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (78.4) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีทั้ง 3 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2553

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ราคาผลผลิตทางการเกษตร ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้กำลังซื้อในภาคเกษตรปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลได้ต่อมาตรการ“3 มาตรการลดค่าครองชีพ” ประกอบด้วยการให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าฟรี การให้ประชาชนขึ้นรถเมล์ฟรี และการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟรี โดยมีผลบังคับใช้จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่งผลทางจิตวิทยาในเชิงบวกต่อความกังวลในการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและค่าครองชีพของประชาชน อย่างไรก็ดี เดือนมีนาคม 2554 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาน้ำท่วมในภาคใต้ ปัญหาสึนามิในญี่ปุ่น สถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีราคาแพงขึ้น ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นและสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนทำให้ผู้บริโภคมีความกังวล

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่า 71.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (71.3) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่า 72.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (71.3) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่า 97.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (97.5) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แม้ผู้บริโภคจะกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต แต่ระดับความเชื่อมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่าเท่ากับ 53.1 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (51.4) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (52.5) โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีโดยรวมมีค่าสูงกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดีขึ้น ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มดีขึ้น สำหรับดัชนีที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัทและการจ้างงานของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 107.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (102.7) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (110.5)การที่ค่าดัชนียังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ดี อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคม 2554 ดัชนีเริ่มปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2แล้ว แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 100 โดยค่าดัชนีที่ปรับลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบดัชนีด้านยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2554 ลดลงคือ สถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งภาคการค้า การท่องเที่ยว การปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ผลกระทบจากปัญหาในประเทศตะวันออกกลางทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น กรณีความเสียหายจากแผ่นดินไหวและปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐได้แก่ ขอให้ภาครัฐสร้างเสถียรภาพด้านการเมืองและออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย และออกมาตรการควบคุมสินค้าด้วยคุณภาพที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างจริงจัง หาแนวทางแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมชะลอการปรับราคา LPG ในภาคอุตสาหกรรม

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม 2554 อยู่ที่ระดับ 127.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 127.7 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ มูลค่าการส่งออก ณ ราคาคงที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่าเฉลี่ย 127.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 125.4

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมีนาคม 2554 อยู่ที่ระดับ 122.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากเดือนกุมภาพันธ์2554 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 121.8 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่มณ ราคาคงที่ มูลค่าการนำเข้า ณ ราคาคงที่และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ (รถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์)

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่าเฉลี่ย 122.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 120.4

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่า 139.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (135.7)และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (133.6) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่พบว่า ไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 196.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา(185.8) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (174.3)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี2554 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2553

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2553

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เท่านั้น) โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ มีจำนวน 58,229.83 ล้านบาท)

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 110.0ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (108.7) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (106.8) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ผักและผลไม้ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร กลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีค่าเท่ากับ 136.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส ที่ผ่านมา (132.9) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 (128.0) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2553 สำหรับราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2553

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2554 (ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.076 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 37.553 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.63 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.267 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.70)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่หนึ่งของปี 2554 มีจำนวน 5.412 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 14.41 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 1 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 111,051.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ56,874.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 54,177.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 นั้นมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.94 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.05ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ดุลการค้าเกินดุล 2,697.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.26 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ27.96

การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกทั้ง 3 เดือน(มกราคม-มีนาคม) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าการส่งออกอยู่ในระดับสูงกว่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมมีมูลค่าการส่งออกถึง 21,259.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งขยายตัวร้อยละ30.88 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับเดือนมกราคมมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.25 และเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.00 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 16,747.45ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 18,867.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ

  • โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 42,998.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 75.60) สินค้าเกษตรกรรม 7,536.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.25)สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 3,843.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.76) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิง2,495.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.39)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกของสินค้าในทุกหมวดมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.87 สินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ45.20 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.61 และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.70

สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 5,072.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.92) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 4,498.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.91) ยางพารา 3,589.07ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.31) อัญมณีและเครื่องประดับ 3,559.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.26) เม็ดพลาสติก 2,140.92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.76) แผงวงจรไฟฟ้า 2,017.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อละ 3.55) ผลิตภัณฑ์ยาง 1,984.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.49)เคมีภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออก 1,864.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.28) ข้าว 1,667.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.93) และน้ำมันสำเร็จรูป 1,552.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.73) โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 27,947.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 49.14 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

  • ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักของไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) สหภาพยุโรปญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 55.66 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกในตลาดสำคัญมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกตลาดโดยมูลค่าการส่งออกในตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.21 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.71ตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.28 และตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.78

  • โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด โดยมีมูลค่าการนำเข้า 23,293.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 43.00) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 14,449.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.67) สินค้าเชื้อเพลิง 9,085.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(คิดเป็นร้อยละ 16.77) สินค้าอุปโภคบริโภค 4,968.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.17) สินค้าหมวดยานพาหนะ 2,274.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.20) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ105.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.19) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 1 นี้เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในทุกหมวดหลักมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.22 สินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.72 สินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.10 สินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.02 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.01 และหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.82

แหล่งนำเข้า

แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียน (9 ประเทศ) สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 มีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 51.22 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากทุกแหล่งนำเข้าหลัก โดยการนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.19 กลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.50 สหรัฐอเมริกามีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ31.47 และญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.59

แนวโน้มการส่งออก ปี 2554

กระทรวงพาณิชย์จะปรับเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2554 ใหม่จากเดิมขยายตัวร้อยละ 10 เพิ่มเป็นร้อยละ 12 คิดเป็นมูลค่า 2.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากการขยายตัวของตลาดที่มีศักยภาพเช่น อาเซียน จีน อินเดีย และตลาดที่มีศักยภาพเดิมเช่น สหรัฐฯ EU ญี่ปุ่นมีการระดมทุนหมุนเวียนจากภาครัฐเข้าไปในระบบสูงมากจึงทำให้มีการขยายตัวด้านการค้าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์สำหรับตลาดใหม่ขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ทุกตลาด เช่น รัสเซีย CIS อัฟริกา ลาตินอเมริกา เป็นต้นขณะเดียวกัน ไทยยังได้รับผลดีจากการขยายตัวของการค้าชายแดน โดยในปีนี้ตั้งเป้าขยายตัวร้อยละ 22 มูลค่า 900,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 1ล้านล้านบาทในปี 2555

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีมูลค่ารวม -9,840.86 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินกู้ของภาคเศรษฐกิจที่มีมากกว่าการลงทุนในเรือนหุ้นทำให้การลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคม-22,534.04 ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 12,693.18 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือน ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 10,400.93 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 12,416.63ล้านบาท โดยการลงทุนในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ43.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 22,817.56 ล้านบาท โดยหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งซึ่งมีเงินลงทุนมากที่สุดเป็นจำนวน4,127.09 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์มีการลงทุนสุทธิ 3,228.97 ล้านบาท และหมวดเคมีภัณฑ์มีเงินลงทุน 2,047.97 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2554 คือประเทศเนเธอร์แลนด์มีเงินลงทุนสุทธิ 6,614.25 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ และประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 5,839.82 ล้านบาท และ 1,671.14 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 407 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 354 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 1 นี้มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 110,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.72 โดยโครงการลงทุนนั้นประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 135โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 31,600 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 94 โครงการเป็นเงินลงทุน 37,200 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนไทย 100% จำนวน 178 โครงการ เป็นเงินลงทุน 41,200 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 28,600 ล้านบาทรองลงมาคือ หมวดเกษตรกรรม และผลิตผลการเกษตรมีเงินลงทุน 24,400 ล้านบาท และหมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 21,600 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นยังคงมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 104 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 36,673 ล้านบาทรองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ที่มีจำนวน 15 โครงการ มีเงินลงทุน 4,746 ล้านบาท ประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 12 โครงการ เป็นเงินลงทุน 4,298 ล้านบาท และประเทศอินเดีย 10 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน1,094 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--

-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ