สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 2 (เมษายน — มิถุนายน) พ.ศ. 2554(อุตสาหกรรมอาหาร)

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 12, 2011 13:59 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

1. การผลิต

ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2554 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาลทราย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.0 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 18.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการผลิตในกลุ่มสำคัญ เช่น สินค้าประมง ผักและผลไม้ น้ำมันพืช และอาหารสัตว์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น (ตารางที่ 1) เป็นผลจากปริมาณวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น และหากพิจารณารวมการผลิตน้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 27.5 เนื่องจากเป็นปลายฤดูหีบอ้อย และปริมาณอ้อยเข้าโรงงานลดลง แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.3 เป็นผลจากปริมาณอ้อยที่เข้าโรงงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนมาก สำหรับภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหารช่วงครึ่งปี 2554 เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีก่อนร้อยละ 23.7

ภาวะการผลิตในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสำคัญในช่วงไตรมาสที่ 2 สรุปได้ ดังนี้

          -กลุ่มแปรรูปธัญพืชและแป้ง  ปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 40.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณวัตถุดิบออกน้อยตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 เมื่อเทียบกับ   ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปีก่อนปริมาณผลผลิตลดลงจากการเกิดโรคระบาด เช่น เพลี้ยแป้งใน          มันสำปะหลัง ส่งผลให้ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับราคาในตลาดโลกเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบช่วงครึ่งปี 2554 กับช่วงครึ่งปี 2553 พบว่าการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1

-กลุ่มแปรรูปประมง ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในแหล่งเพาะเลี้ยง ทำให้ปริมาณลดลง และเมื่อเทียบช่วงครึ่งปี 2554 กับช่วงครึ่งปี 2553 พบว่าการผลิตลดลงร้อยละ 2.5 เป็นผลจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น และความวิตกกังวลเรื่องโรคระบาดและภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจับกุ้งก่อนเวลา ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณวัตถุดิบลดลง

-กลุ่มแปรรูปปศุสัตว์ ปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากเกิดโรคระบาดในสุกร ทำให้ปริมาณวัตถุดิบลดลง ประกอบกับราคาต้นทุนอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบนำเข้าที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน การผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.8 เนื่องจากราคาจูงใจให้ผู้ผลิตผลิตเพิ่มขึ้น โดยช่วงครึ่งปี 2554 การผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.4 จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นที่ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลกับการบริโภคอาหารในประเทศ

-กลุ่มแปรรูปผักผลไม้ ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 0.7และ ร้อยละ 37.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบ เช่น สับปะรด ข้าวโพดฝักอ่อน และข้าวโพดหวาน ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปี 2554 การผลิตได้ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันร้อยละ 22.5 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีของปีก่อน

-กลุ่มแปรรูปเพื่อใช้บริโภคในประเทศ ได้แก่ น้ำมันพืช เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 39.3 เนื่องจากมีการอนุมัติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มแยกไขมากลั่นเป็นน้ำมันบริโภคเพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตปาล์มน้ำมันขาดแคลน และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดตามปกติ สำหรับผลิตภัณฑ์นมผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ภายหลังการอนุมัติปรับขึ้นราคารับซื้อน้ำนมดิบตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.7 ในส่วนของอาหารสัตว์ มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ตามความต้องการใช้ในภาค ปศุสัตว์และประมงที่เพิ่มขึ้น

สรุปภาพรวมด้านการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ระดับราคาสินค้าอาหารโดยรวมในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ทำให้ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ส่งออก เช่น น้ำตาล ผักผลไม้ ธัญพืชและแป้ง และปศุสัตว์ขยายตัวได้ดี

2. การตลาด

2.1 ตลาดในประเทศ

ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2554 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารภายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 2) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระดับราคาผลผลิตทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อระดับรายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้น กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค สำหรับในภาพรวมเมื่อเทียบกับปีก่อน ปริมาณการจำหน่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยช่วงครึ่งปี 2554 การจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีของปีก่อนร้อยละ 18.5 พิจารณาได้จากปริมาณการจำหน่ายสินค้าสำคัญๆ เช่น น้ำตาล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์นม อาหารสัตว์ และเนื้อสัตว์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 14.1 7.4 5.1 และ 2.5 ตามลำดับ

2.2 ตลาดต่างประเทศ

1) การส่งออก

ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2554 การส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร มีมูลค่ารวม 8,341.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 252,526.7 ล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.9 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 34.1 ในรูปของเงินบาท จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศผู้นำเข้าฟื้นตัว และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ตารางที่ 3-4) เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.1 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 31.9 ในรูปของเงินบาท สำหรับภาพรวมช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าการส่งออก 15,190.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 459,863.3 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 28.8 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 20.4 ในรูปของเงินบาท ซึ่งพบว่า มูลค่าการส่งออกทั้งในรูปของเงินบาทและดอลลาร์ฯ มีการขยายตัวในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะปศุสัตว์ ข้าวและธัญพืช ผักผลไม้ และประมง เนื่องจากระดับราคาสินค้าอาหารได้ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว แม้ว่าค่าเงินบาทจะปรับแข็งค่าขึ้น แต่การส่งออกอาหารในภาพรวมยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ในส่วนการส่งออกของแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญ มีดังนี้

กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเล มีมูลค่าการส่งออก 2,311.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 69,962.1 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 15.9 ในรูปของเงินบาทจากไตรมาสก่อน โดยเป็นการขยายตัวในกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูปมากที่สุด และหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.8 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 32.5 ในรูปของเงินบาท สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าส่งออกรวม 4,028.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 121,962.8 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 27.2 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 18.9 ในรูปของเงินบาท ซึ่งหากพิจารณาการส่งออกสินค้าสำคัญในกลุ่ม คือ กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ปริมาณและมูลค่าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลดีจากการที่สหรัฐอเมริกาประกาศห้ามทำการประมงในบริเวณอ่าวเม็กซิโกจากปัญหาแท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิดตั้งแต่ช่วงกลางปี 2553 ประกอบกับการระบาดของโรคไวรัสกุ้งในประเทศผู้ผลิตอย่างอินโดนีเซีย เอกวาดอร์ และเกิดภัยธรรมชาติในจีนและเวียดนาม ทำให้ประเทศผู้นำเข้าหันมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยทดแทนอย่างต่อเนื่อง

-กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักผลไม้ มีมูลค่าการส่งออก 890.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 26,969.1 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.9 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 29.9 ในรูปของเงินบาท จากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.7 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 25.0 ในรูปของเงินบาท สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าส่งออกรวม 1,576.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 47,725.7 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 27.5 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 19.2 ในรูปของเงินบาท เป็นผลจากการที่ประเทศคู่แข่ง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ประสบภัยธรรมชาติทำให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกลดลง ซึ่งสินค้าสำคัญในกลุ่ม ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบมีปริมาณเพิ่มขึ้นและคำสั่งซื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถส่งออกผักและผลไม้แช่เย็นได้เพิ่มขึ้นในหลายสินค้า เช่น พริก กระเจี๊ยบขาว เงาะ ทุเรียน และลำไย

-กลุ่มผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ มีมูลค่าการส่งออก 524.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 15,890.0 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในรูปของดอลลาร์ฯ และในรูปของเงินบาทร้อยละ 3.0 จาก ไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 13.6 ในรูปของเงินบาท สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าส่งออกรวม 1,034.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 31,321.8 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 24.6 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 16.5 ในรูปของเงินบาท เนื่องจากความต้องการบริโภคในผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ตื่นตระหนกกับปัญหาการปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีในอาหาร ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิม่า ประกอบกับราคาสินค้าเนื้อสัตว์ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก

-กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว แป้ง และธัญพืช มีมูลค่าการส่งออก 2,718.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 82,305.4 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 0.5 ในรูปของเงินบาท จากไตรมาสก่อน สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าส่งออกรวม 5,425.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 164,237.9 ล้านบาท โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.6 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 22.1 ในรูปของเงินบาท เป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์ธัญพืชในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 30.4 ในรูปของเงินบาท โดยเป็นการส่งออกสินค้าข้าวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 เนื่องจากปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

-กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย มีมูลค่าการส่งออก 1,433.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 43,408.5 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 938.4 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 68.1 ในรูปของเงินบาทจากไตรมาสก่อน สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าส่งออกรวม 2,286.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 69,230.3 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 34.4 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 25.6 ในรูปของเงินบาท เป็นผลจากปัจจัยด้านราคาที่สูงขึ้นมาก จากการที่ประเทศผู้ผลิตอย่างอินเดียประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกลดลง มีผลต่อปริมาณสต็อกน้ำตาลในตลาดโลกลดลง และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่า มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเช่นกันร้อยละ 66.7 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 55.9 ในรูปของเงินบาท

-กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 462.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ13,991.5 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 22.8 ในรูปของเงินบาท จากไตรมาสก่อน และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 15.0 ในรูปของเงินบาท สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่าส่งออกรวม 838.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 25,384.8 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 19.3 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 11.6 ในรูปของเงินบาท เป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าประเภทสิ่งปรุงรสอาหาร หมากฝรั่งและขนมที่ไม่มีโกโก้ผสม และนมและผลิตภัณฑ์นม

2) การนำเข้า

การนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารของไทย ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2554 มีมูลค่ารวม 2,408.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 72,911.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในรูปของดอลลาร์ฯ แต่ลดลงร้อยละ 0.6 ในรูปของเงินบาท จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการนำเข้าไขมันและน้ำมันพืชลดลงร้อยละ 50.7 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 51.2 ในรูปของเงินบาท และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พบว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 ในรูปของดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 25.5 ในรูปของเงินบาท สำหรับในช่วงครึ่งปี 2554 มีมูลค่านำเข้า 4,832.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 146,294.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.7 ในรูปของดอลลาร์ฯ และร้อยละ 29.7 ในรูปของเงินบาท ซึ่งเป็นผลจากการนำเข้าปลาทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง เมล็ดและกากพืชน้ำมัน และนมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นทั้งในรูปของดอลลาร์ฯ และเงินบาท ตามราคาโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อน 3. นโยบายของภาครัฐ

ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2554 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือกับเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ และผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาด้านปัจจัยการผลิต ได้แก่

3.1 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 และ 3 พฤษภาคม 2554 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน และราคา ผลปาล์มของเกษตรกร โดยให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบรับซื้อผลปาล์มที่เปอร์เซ็นต์น้ำมันไม่ต่ำกว่าร้อยละ 17 ในราคา 6 บาทต่อกิโลกรัม โรงกลั่นน้ำมันปาล์มและโรงงานไบโอดีเซลรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 36.28 บาท และมีเงื่อนไขตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด นอกจากนี้ยังกำหนดราคาขายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์บรรจุขวด ถุง หรือปี๊บ ในราคา 47 บาทต่อลิตร ซึ่งรัฐจะชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนและราคาจำหน่ายให้โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์ม จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2554

3.2 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาจำหน่ายนมสดพร้อมดื่มและน้ำมันถั่วเหลือง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยอนุมัติให้ปรับเพิ่มราคานมสดพร้อมดื่มในขนาดบรรจุต่างๆ 0.25-8.50 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 และน้ำมันถั่วเหลือง ให้ปรับราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันถั่วเหลือง จากขวดลิตรละ 46.00 บาท เป็น 55.00 บาท โดยให้ผู้ประกอบการรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบางส่วน มีผลตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2554 เป็นต้นไป จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งเท่ากับระยะเวลาที่กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตและกระจายสินค้าออกสู่ตลาดโดยเร็วในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อให้มีปริมาณน้ำมันถั่วเหลืองเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่และทั่วถึง

3.3 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2554 เห็นชอบการขอเปลี่ยนแปลงการย้ายสถานที่ตั้ง หรือการขอนำกำลังการผลิตไปตั้งที่ใหม่และขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาล จำนวน 4 แห่ง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมระหว่างปริมาณวัตถุดิบและกำลังการผลิตของโรงงาน โดยขอให้พิจารณาความเหมาะสมของข้อมูลกำลังการผลิต การผลิตจริง และข้อมูลปริมาณผลผลิตอ้อยในแต่ละพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลกผันผวน

4. สรุปและแนวโน้ม

ภาวะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2554 อยู่ในช่วงขยายตัวจากไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน พิจารณาจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นตลาดหลักสินค้าอาหารของไทย มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ต้องการผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้สต็อกสินค้าในตลาดโลกที่สำคัญ คือ น้ำตาลทราย ได้ปรับตัวลดลงจากการที่ประเทศอินเดีย ประสบปัญหาภัยแล้งทำให้ส่งออกน้ำตาลได้ลดลง และการที่ประเทศบราซิลนำอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อระดับราคาน้ำตาลที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการในสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ ได้แก่ ไก่แปรรูป ตลาดญี่ปุ่นมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากสภาพปัญหาความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคจากการปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีในอาหารที่เกิดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ส่งผลให้การส่งออกไก่แปรรูปของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าที่ปริมาณการผลิตปรับตัวลดลง คือ มันสำปะหลัง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และโรคเพลี้ยแป้งระบาดทำให้ผลผลิตลดลง ส่งผลโดยตรงกับระดับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก

สำหรับแนวโน้มการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 คาดว่า ทิศทางการผลิต และการส่งออกจะปรับตัวลดลงตามฤดูกาล จากปริมาณวัตถุดิบลดลงในพื้นที่เพาะปลูกที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ได้แก่ อุทกภัยในภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าประมง สับปะรด มันสำปะหลัง ข้าว และผักต่างๆ รวมทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มจะทรงตัวและมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะหนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในสหภาพยุโรป ที่เริ่มประสบปัญหาการชำระเงิน ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ รวมถึงการเคลื่อนไหวของระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบต่างๆ ที่ประเทศผู้นำเข้าจะประกาศใช้ในอนาคต เช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เริ่มมีการบังคับใช้ โดยเฉพาะการทำฉลากระบุร่องรอยคาร์บอนบนตัวผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในสหภาพยุโรป จะทำให้การส่งออกอุตสาหกรรมอาหารในภาพรวมชะลอตัวลงได้

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--

-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ