สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1/2555 (มกราคม — มีนาคม) พ.ศ. 2555(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 23, 2012 14:50 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 หดตัวร้อยละ 9.0 หดตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 ที่ขยาตัวร้อยละ 3.7 และหดตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวหดตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี2554 คือ การลดลงของอุปทาน เนื่องจากมหาอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ส่งผลให้อุปสงค์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศหดตัวลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล และการลงทุนหดตัว

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 หดตัวร้อยละ21.8 หดตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 และหดตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี2553 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 โดยเป็นผลมาจากปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างทำให้เกิดผลกระทบวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับผลกระทบสูง

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2555 จะขยายตัวร้อยละ 5.5-6.5 จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการผลิต

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 พบว่าส่วนใหญ่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สำหรับมูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัวร้อยละ 3.9 (ม.ค. —มี.ค. 55) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2554 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 174.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (124.9) ร้อยละ 39.5 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (187.7) ร้อยละ 7.1อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard DiskDrive ยานยนต์ น้ำตาล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องปรับอากาศ เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ182.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ผ่านมา (130.6) ร้อยละ 39.7 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี2554 (191.6) ร้อยละ 4.8

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ น้ำตาล เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เส้นใยสิ่งทอ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 183.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (175.0) ร้อยละ 4.6 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (185.0) ร้อยละ 1.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Driveน้ำตาล ยานยนต์ เบียร์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ยานยนต์ อาหารทะเลแช่แข็ง เครื่องปรับอากาศ รองเท้า เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี2555 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 63.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ46.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (ร้อยละ 62.6)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารสัตว์สำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมเฉลี่ยมีค่า 75.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (72.1) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554(80.7) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีทั้ง 3 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554

การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจหลังน้ำท่วมเริ่มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้ ผู้บริโภคมีความหวังว่าภาวะเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคตน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อย่างไรก็ตามผู้บริโภคมีความวิตกกังวลต่อปัญหาค่าครองชีพสูง และความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยมากขึ้น หากพิจารณาดัชนีในเดือนมีนาคม 2555 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4และปรับตัวอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่า 65.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (62.3)แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (71.9) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่า 66.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (63.4) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554(72.4) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่า 94.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (90.8) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554(97.9) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แม้ผู้บริโภคจะกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต แต่ระดับความเชื่อมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ตารางที่ 3) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่าเท่ากับ 53.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (41.4) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (53.1) โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีโดยรวมมีค่าสูงกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดีขึ้น ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มดีขึ้น สำหรับดัชนีที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่าในไตรมาสที่ 1ของปี 2555 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 100.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (90.1) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (107.7) การที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่สูงกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ดี นอกจากนี้ เดือนมีนาคม 2555 ดัชนีปรับตัวดีขึ้นและค่าดัชนีเกิน 100 เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยค่าดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นขององค์ประกอบด้านยอด คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวมปริมาณการผลิต และผลประกอบการ แสดงถึงสัญญาณการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมหลังเกิดอุทกภัยที่ผ่านมา ประกอบกับการเร่งผลิตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคเพื่อรองรับอุปสงค์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลให้ผู้ประกอบการมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นภาครัฐควรมีมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และควรมีแผนการพัฒนาฝีมือแรงงานควบคู่กับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเกี่ยวกับมาตรการป้องกันภัยธรรมชาติ รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท รวมทั้งกรณีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ภาครัฐควรทบทวนการปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างรอบคอบ และเร่งแก้ไขภาวะค่าครองชีพสูง

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม 2555 อยู่ที่ระดับ 132.5 ลดลงร้อยละ 0.2 จากเดือนกุมภาพันธ์2555 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 132.7 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล และปริมาณการส่งออก

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่าเฉลี่ย 132.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 128.9

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index :CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมีนาคม 2555 อยู่ที่ระดับ 125.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ0.5 จากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 124.4 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม มูลค่าการนำเข้า ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่าเฉลี่ย 123.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 114.0

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption)จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่า 144.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (137.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (138.8) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและ ไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ การใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 215.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (193.4) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (202.5)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี2555 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2554

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เท่านั้น) โดยในเดือนกุมภาพันธ์2555 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ มีจำนวน66,676.37 ล้านบาท

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8)โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 113.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (113.1) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (110.0) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคายานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งราคาพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีค่าเท่ากับ 139.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (138.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (136.2) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์จากเหมือง และผลผลิตเกษตรกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2555 (ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.798 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.057 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.09 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.256 ล้านคน(คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.66)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่หนึ่งของปี 2555 มีจำนวน 5.984 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 15.72 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

การค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตหลังจากน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าลดลง สำหรับการนำเข้ายังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 นี้ ดุลการค้าขาดดุล 5,186.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 การส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี 2554 หลังจากภาคการผลิตฟื้นตัวจากเหตุการณ์อุทกภัย โดยในไตรมาสที่ 1 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 114,470.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ54,641.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 59,828.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นั้นมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.93 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.35 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ดุลการค้าขาดดุล 5,186.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.92 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.45

การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมมีมูลค่าการส่งออก 15,736.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.03 ซึ่งยังคงหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2554 สำหรับการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีมูลค่า 19,038.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวเพียงเล็กน้อยร้อยละ 0.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลับมาหดตัวลงอีกครั้งในเดือนมีนาคม โดยมีมูลค่าการส่งออก 19,866.3ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งลดลงร้อยละ 6.54 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

-โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม40,252.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ73.68) สินค้าเกษตรกรรม 5,979.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.94) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,552.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(คิดเป็นร้อยละ 8.33) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิง3,844.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ7.04)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกของหมวดสินค้าหลักมีมูลค่าลดลง โดยสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ20.66 และสินค้าอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 6.40 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรและสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.46 และ 65.62 ตามลำดับ

สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 ได้แก่ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 4,887.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.94)เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4,411.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.07) อัญมณีและเครื่องประดับ 3,351.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.13) น้ำมันสำเร็จรูป3,230.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.91) ยางพารา 2,635.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.82) ผลิตภัณฑ์ยาง 2,162.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.96) เม็ดพลาสติก2,061.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.77) เคมีภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออก 2,012.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.68) แผงวงจรไฟฟ้า 1,592.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ2.92) และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,511.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ2.77) โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 27,588.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 50.98 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

-ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักของไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ซึ่งได้แก่ อาเซียน(9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 55.17 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกในตลาดญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.96 และ16.32 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ9.18 และสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 มีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด โดยมีมูลค่าการนำเข้า 23,168.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 38.72) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 16,273.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 27.20)สินค้าเชื้อเพลิง 11,730.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.61) สินค้าอุปโภคบริโภค5,891.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.85) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 2,638.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.41) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 126.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.21) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว ยกเว้นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 0.52 สำหรับมูลค่าการนำเข้าในหมวดสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.11 สินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.89 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.63 สินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.01 และหมวดสินค้าทุนมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.63

ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 แหล่งนำเข้าที่สำ คัญได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียน (9ประเทศ) สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 47.35 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำ เข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าแหล่งนำเข้าหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.87สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.98 กลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.81 ยกเว้นการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 18.08

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีมูลค่ารวม21,024.35 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคม 7,417.22 ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 13,607.13 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือน ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 12,454.05 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 13,788.31ล้านบาท โดยการลงทุนในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 4.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

หมายเหตุ: 1. เป็นการลงทุนในภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารเท่านั้น

2. เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ = การลงทุนในทุนเรือนหุ้นบวกกับเงินกู้ในเครือ

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีมูลค่ารวม21,024.35 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคม 7,417.22 ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 13,607.13 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือน ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 12,454.05 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 13,788.31ล้านบาท โดยการลงทุนในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 4.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 26,242.36 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์มากที่สุดซึ่งมีเงินลงทุนเป็นจำนวน6,084.96 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงมีการลงทุนสุทธิ5,984.02 ล้านบาท และการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้ามีเงินลงทุน 4,645.27 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2555 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 20,283.48 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศลักเซมเบิร์ก และประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 3,201.86 ล้านบาท และ2,776.35 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 514 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 407 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 1 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 182,900 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.27 โดยโครงการลงทุนนั้นประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 164 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 55,300 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 96 โครงการเป็นเงินลงทุน 84,500 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 254 โครงการ เป็นเงินลงทุน 43,100 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 90,000 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเงินลงทุน 28,100 ล้านบาท และหมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน18,200 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นยังคงมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 131 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 47,504 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีจำนวน 9 โครงการ มีเงินลงทุน 6,175 ล้านบาท ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 8 โครงการ เป็นเงินลงทุน 5,420 ล้านบาท และประเทศฮ่องกง 6 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 2,803 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ