สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 2 ปี 2555 (เมษายน — มิถุนายน 2555)(อุตสาหกรรมปิโตรเคมี)

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 27, 2012 15:31 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ไตรมาส 2 ปี 2555 ราคาแนฟธาของตลาดเอเชียปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากมีการปิดแครกเกอร์ในตะวันออกกลาง ส่งผลให้ความต้องการ(Demand) ลดลง และอีกสาเหตุอย่างหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ผลิตปิโตรเคมีในสหรัฐอเมริกาหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (NGLs) ได้แก่ อีเทน โพรเพน และบิวเทน เป็นวัตถุดิบหลักแทนวัตถุดิบจากน้ำมันดิบ คือ แนฟธามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุน คาดว่าอุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในปี 2555 จะลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน

การผลิต

ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยมีแผนสร้างโรงงานผลิตพอลิเมทิลเมทาคริเลต (PMMA)คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2558 รวมถึงมีแผนสร้างแครกเกอร์ระดับโลกอีก 2 หน่วย ในทวีปเอเชียใช้แนฟธาและก๊าซเป็นวัตถุดิบตั้งต้น รวมถึงมีแผนสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องขั้นปลายขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจ คาดว่าจะเปิดดำเนินการในอีก 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ในเดือนพฤษภาคม 2555 โรงงานผลิต PET ที่จังหวัดลพบุรีได้กลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังจากต้องปิดยาวเนื่องจากเหตุอุทกภัยตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2554

การค้าระหว่างประเทศ

การส่งออก

การส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไตรมาสที่ 2 ปี 2555 ทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำมีมูลค่า 72,702.59 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ 26.47 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.56 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2555 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายส่งออกลดลงร้อยละ 30.62 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2554 ทั้งนี้เนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทยโดยเฉพาะจีนและสหรัฐอเมริกาที่มีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำ ประกอบกับการที่ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกของไทย เช่น ประเทศจีนและเวียดนามมีแผนการขยายกำลังการผลิตเป็นจำนวนมากในช่วงปี 2556-2560 และบางแห่งเริ่มทยอยเดินเครื่องการผลิต ส่งผลให้ตลาดมีความตึงตัวและลดการพึ่งพิงการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากไทย

สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 ทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำมีมูลค่า 140,929.97 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ24.77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การนำเข้า

การนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไตรมาสที่ 2 ปี 2555 ทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีมูลค่า 30,081.70 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ 29.05 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ลดลงจากไตรมาสที่แล้วร้อยละ 29.24 แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2555 ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ การที่ผู้ประกอบการภายในประเทศยังมีสินค้าคงคลัง รวมไปถึงโรงงานของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูทำให้ยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตเดิม จึงทำให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังขยายตัวไม่เต็มที่

สำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 ทั้งระดับต้นน้ำกลางน้ำ และปลายน้ำมีมูลค่า 57,627.61 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ30.56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ราคาสินค้า

ราคาเอธิลีนในตลาดเอเชียในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 ราคาเฉลี่ยตลอดไตรมาสอยู่ที่ประมาณ 39.56 บาทต่อกิโลกรัม และราคาโพรพิลีนเฉลี่ยตลอดไตรมาสอยู่ที่ 44.88 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาของทั้งสองผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า

ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2555 ราคาเม็ดพลาติก PE และ PP (ราคาเฉลี่ย SE Asia CFR) ในเดือนมิถุนายน 2555 ของ LDPE, HDPE, และ PP อยู่ที่ระดับ 39.49, 41.06 และ 47.38บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ PE และ PP มีระดับราคาเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่ง สศอ.ดำเนินการศึกษาในปี 2554 ผลที่ได้รับประกอบด้วย ยุทธศาสตร์/แนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่มีการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น และพัฒนาไปเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี และสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

สรุปและแนวโน้ม

สรุป

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไตรมาสที่ 2 ปี 2555 มีอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกที่ลดลง โดยมีปัจจัยมาจากการที่ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกของไทยมีการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง รวมถึงมีแผนการขยายกำลังการผลิตส่งผลให้ลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากไทยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไตรมาสที่ 2 ปี 2555 มีอัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าที่ลดลง ซึ่งคาดว่ามีปัจจัยมาจากการที่อุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ และอาจยังมีสินค้าคงคลังเหลือจากไตรมาสก่อน

แนวโน้ม

แนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยทั้งปี 2555 คาดว่าอัตราการขยายตัวจะค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2554 ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญน่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และต่างประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ ประเทศจีน และประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการขยายตัวที่ทรงตัว จึงส่งผลให้การส่งออกและนำเข้าของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไทยมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำตามไปด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าปัจจัยหนุนจากภายในประเทศ คือ การที่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์อุตสาหกรรมพลาสติก เริ่มกลับมาทำการผลิตได้อีกครั้งในช่วง ครึ่งหลังของปี 2555 หลังจากวิกฤตอุทกภัยในปลายปีที่ผ่านมา น่าจะทำให้ความต้องการวัตถุดิบเม็ดพลาสติกมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีดีขึ้น ดังนั้น ในระยะสั้น ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจึงควรวางแผนการผลิตเพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศ และอาจชะลอแผนการผลิตเพื่อส่งออกเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกรวมถึงผลกระทบจากปัญหาหนี้สินในยุโรป ส่งผลให้คำสั่งซื้อจากกลุ่มประเทศดังกล่าวชะลอตัวลง

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ