รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนตุลาคม 2555

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 19, 2012 15:13 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

สรุปประเด็นสำคัญ

ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนกันยายน 2555
  • ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2555 ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555 ร้อยละ 0.5 และลดลงร้อยละ 13.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
  • อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในเดือนกันยายน 2555 อยู่ที่ระดับร้อยละ 64.5 ลดลงจากร้อยละ 65.4 ในเดือนสิงหาคม 2555
ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนตุลาคม 2555

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

  • แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกของอุตสาหกรรมนี้ คาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในแถบสหภาพยุโรปยังไม่คลี่คลายส่งผลต่อคำสั่งซื้อที่ลดลงทั้งจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
  • ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา และราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

  • สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนตุลาคม 2555 ในส่วนของเหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะมีการผลิตที่ทรงตัวเนื่องจากสถานการณ์การนำเข้าเหล็กที่เจือโบรอนและโครเมียมยังคงมีอยู่ ซึ่งถึงแม้ภาครัฐโดย สมอ.หรือ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะกำหนดมาตรฐานสินค้าที่นำเข้าเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวอยู่
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 ปี 2555

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 175.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (178.9) ร้อยละ 1.9 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (195.5) ร้อยละ 10.2

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive น้ำตาลเครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โทรทัศน์สี เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2554 ร้อยละ 6.3 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 65.5เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 64.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (ร้อยละ 65.0)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ เส้นใยสิ่งทอผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เยื่อกระดาษ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ปูนซีเมนต์ เป็นต้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 64.12 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี2554 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2555-56

ภาพรวมภาคอุตสาหกรรมปี 2555-56 นั้น ในปี 2555 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index - MPI) จะขยายตัวร้อยละ 5.0 — 6.0 ส่วนในปี 2556 MPI จะขยายตัวร้อยละ 3.5 — 4.5

ปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ แรงกดดันด้านราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การฟื้นตัวของบางอุตสาหกรรมที่อาจจะล่าช้าไปจนถึงสิ้นปี 2555 ต่อเนื่องถึงปี 2556 และการแข็งค่าของเงินบาท หลังธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่ม (QE3)

สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
  • ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

ส.ค. 55 = 174.4

ก.ย. 55 = 173.5

โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
  • เสื้อผ้าสำเร็จรูป
  • น้ำตาล
  • อัตราการใช้กำลังการผลิต

ส.ค. 55 = 65.4

ก.ย. 55 = 64.5

โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
  • โทรทัศน์สี
  • เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกันยายน 2555 มีค่า 173.5 ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555(174.4) ร้อยละ 0.5 และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน คือเดือนกันยายน 2554 (201.0) ร้อยละ 13.7

  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม2555 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป น้ำตาล เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนกันยายน 2555 อยู่ที่ระดับร้อยละ 64.5 ลดลงจากเดือนสิงหาคม2555 (ร้อยละ 65.4) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน คือเดือนกันยายน 2554 (ร้อยละ 65.8)

  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555 ได้แก่ผลิตภัณฑ์ยาสูบ โทรทัศน์สี เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เคมีขั้นมูลฐาน อาหารสัตว์สำเร็จรูป เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น

สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2555

ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2555 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 379 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 402 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ5.72 มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 12,806.77 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งมีการลงทุน14,777.95 ล้านบาท ร้อยละ 13.34 และมีการจ้างงานจำนวน 8,725 คน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 9,685 คน ร้อยละ 9.91

ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนกันยายน 2554 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 429 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 11.66 มียอดเงินลงทุนรวมลดลงจากเดือนกันยายน 2554 ซึ่งมีการลงทุน 17,915.47 ล้านบาท ร้อยละ 28.52 และมีการจ้างงานรวมลดลงจากเดือนกันยายน 2554 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 12,069 คน ร้อยละ 27.71

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนกันยายน 2555 คืออุตสาหกรรมซ่อมและเคาะพ่นสีรถยนต์ จำนวน 35 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือนจากไม้ จำนวน 30 โรงงาน
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนกันยายน 2555 คืออุตสาหกรรม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก การทำเครื่องมือ เครื่องใช้ จำนวนเงินทุน 1,804.73 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับยานยนต์จำนวนเงินทุน 1,072.94 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนกันยายน 2555 คืออุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ จำนวนคนงาน 894 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก การทำเครื่องมือ เครื่องใช้ จำนวนคนงาน 510 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2555 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 70 ราย น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2555ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 75 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.67 แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม2,043.25 ล้านบาท มากกว่าเดือนสิงหาคม 2555 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 438.21 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงาน จำนวน 2,220 คน มากกว่าเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งมีการเลิกจ้างงานจำนวน 1,225 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนกันยายน 2554 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 66 ราย คิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 6.06 มีเงินทุนของการเลิกกิจการมากกว่าเดือนกันยายน2554 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 1,096.87 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนกันยายน 2554ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 1,375 คน

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนกันยายน 2555 คือ อุตสาหกรรมซ่อมและเคาะพ่นสีรถยนต์ จำนวน 9 โรงงานเท่ากัน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก การทำเครื่องมือ เครื่องใช้ จำนวน 7 โรงงาน
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนกันยายน 2555 คืออุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์ซึ่งมิใช่ภาชนะบรรจุจากเยื่อ กระดาษหรือกระดาษแข็ง เงินทุน1,108.98 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำเชื้อเพลิงก้อน เชื้อเพลิงสำเร็จรูปจากถ่านหินหรือลิกไนต์ที่แต่งแล้ว เงินทุน 420 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนกันยายน 2555คือ อุตสาหกรรมฟอก ย้อมสี หรือแต่งสำเร็จด้ายหรือสิ่งทอ จำนวนคนงาน 521 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็งพลาสติก จำนวนคนงาน 200 คน

ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมกราคม - กันยายน 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 1,646 โครงการ มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,173 โครงการ ร้อยละ 40.32 และมีเงินลงทุน 700,300 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเงินลงทุน 273,800 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 155.77

  • การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในเดือนมกราคม - กันยายน 2555
          การร่วมทุน                     จำนวน(โครงการ)          มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
          1.โครงการคนไทย 100%               641                     170,200
          2.โครงการต่างชาติ 100%              597                     189,300
          3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ        408                     340,800
  • ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในเดือนมกราคม — กันยายน 2555 คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 278,900 ล้านบาทรองลงมา คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 136,800 ล้านบาท
1.อุตสาหกรรมอาหาร

ภาวะการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร คาดว่า จะปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศชะลอตัวลง ส่วนการจำหน่ายภายในประเทศจะปรับตัวลดลงเช่นกัน จากการปรับเพิ่มขึ้นของระดับราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ส่งผลให้ประชาชนชะลอการจับจ่ายใช้สอยลง

1. การผลิต

ภาวะการผลิตกลุ่มสินค้าอาหารสำคัญ (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนกันยายน 2555 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 1.6 แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.4 แบ่งเป็น กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออก เช่นสับปะรดกระป๋อง กุ้งแช่เย็นแช่แข็ง และแป้งมันสำปะหลัง มีปริมาณการผลิตลดลงจากปีก่อนร้อยละ 54.6 36.8 และ 6.8 ตามลำดับ เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศโดยเฉพาะตลาด EU ชะลอตัวลง แต่หากพิจารณากลุ่มสินค้าสำคัญโดยเปรียบเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อน เช่นผลิตภัณฑ์ไก่ มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 และ 13.9 ตามลำดับ เป็นผลจากการที่สหภาพยุโรปยกเลิกประกาศห้ามนำเข้าไก่สดแช่แข็ง กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดภายในประเทศ เช่น น้ำมันปาล์ม มีปริมาณการผลิตลดลงโดยเปรียบเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 13.7 และ 2.1 ตามลำดับ เป็นผลจากความต้องการใช้ชะลอตัว ส่วนน้ำมันถั่วเหลือง มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เพื่อชดเชยการผลิตที่ลดลงในช่วงเดือนก่อน

2. การตลาด

1) ตลาดในประเทศ เดือนกันยายน 2555 ปริมาณการส่งสินค้าอาหารและเกษตรในประเทศ ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 0.7 และ 5.0 เป็นผลจากการชะลอการจับจ่ายใช้สอยจากผลการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น

2) ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร(ไม่รวมน้ำตาล) เดือนกันยายน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 2.1เนื่องจากระดับราคาสินค้าในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามระดับราคาน้ำมัน ประกอบกับปัญหาภัยแล้งในสหรัฐอเมริกาเริ่มส่งผลต่อระดับราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่มีแนวโน้มจะขยับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และหากเปรียบเทียบกับเดือนก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 13.2 จากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อในหลายสินค้า

3. แนวโน้ม

การผลิตและส่งออก คาดว่า จะปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน จากคำสั่งซื้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์การเงินในกลุ่มสหภาพยุโรปและสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่เดิมเริ่มฟื้นตัวกลับมาชะลอตัว สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ คาดว่า จะปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชาชนชะลอการจับจ่ายใช้สอยลง

2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

“แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะชะลอตัวต่อไปเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในแถบสหภาพยุโรปยังไม่คลี่คลายส่งผลต่อคำสั่งซื้อที่ลดลงทั้งจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป”

1. การผลิต

เดือนกันยายน 2555 ภาวะการผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอเมื่อเทียบกับเดือนก่อนปรับตัวลดลงในผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เส้นใย ผ้าผืน เครื่องนอนและผ้าขนหนู เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอ และผ้ายางยืด โดยลดลงร้อยละ 2.70, 4.99, 6.30, 11.44 และ 12.33 ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ผ้าลูกไม้ และเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถัก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.21 และ 4.16 ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตส่วนใหญ่ลดลงในผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เส้นใย ผ้ายางยืด เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถักเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอ และเครื่องนอนและผ้าขนหนู โดยลดลงร้อยละ 2.27, 4.32, 8.86 10.24 และ 15.64 ตามลำดับ

2. การจำหน่าย

การจำหน่ายในประเทศ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนการจำหน่ายส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผ้าลูกไม้ ผ้ายางยืด เส้นใย และเครื่องนอนและผ้าขนหนู โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.31, 2.46, 1.86, และ 1.84 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การจำหน่ายในประเทศส่วนใหญ่ลดลงในผลิตภัณฑ์ เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าทอ เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าถัก เส้นใยผ้าผืน และ เครื่องนอนและผ้าขนหนู โดยลดลงร้อยละ 4.12, 4.71, 5.17, 7.28และ 9.89 ตามลำดับ

การส่งออก โดยรวมเมื่อเทียบกับเดือนก่อนลดร้อยละ 6.81 ผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกลดลง เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องยกทรง ด้ายฝ้าย ด้ายเส้นใยประดิษฐ์ เคหะสิ่งทอ และเส้นใยประดิษฐ์ โดยลดลงร้อยละ 15.01, 7.71, 14.80, 2.15, 4.83 และ 3.96 อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น คือ ผ้าผืน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.11 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนการส่งออกโดยรวมลดลงร้อยละ 18.31 สำหรับตลาดส่งออกสำคัญ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนตลาดส่งออกที่ลดลง คือ ตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป โดยส่งออกลดลงร้อยละ 2.56, 6.56 และ 22.11 อย่างไรก็ตามตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้นคือ อาเซียน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.04 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนการส่งออกลดลงในทุกตลาด คือ อาเซียน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป โดยลดลงร้อยละ 12.87, 16.28, 12.64, และ 33.15 ตามลำดับ

3. แนวโน้ม

แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศในแถบสหภาพยุโรปยังไม่คลี่คลายส่งผลต่อคำสั่งซื้อที่ลดลงทั้งจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา และราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น

3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

บริษัท BLUESCOPE ประเทศออสเตรเลียได้ยื่นคำขอให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน ที่นำเข้ามาจากประเทศไต้หวันเกาหลีใต้ มาเลเซียและญี่ปุ่น โดยส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดที่คำนวณได้ของสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น 7.5% ขณะที่ไต้หวัน เกาหลีใต้และมาเลเซียมีส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดในอัตรา 3.4%-8.5%, 4.5% และ 15.45% ตามลำดับ โดยมาตรการตอบโต้ดังกล่าวจะประกาศใช้ในเร็วๆ นี้

1.การผลิต

สถานการณ์การผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนกันยายน 2555 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.61 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน เมื่อพิจารณาในกลุ่มเหล็กทรงแบนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.31 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 75.91 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 56.01 เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ผลิตปรับลดการผลิตลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กที่เจือโบรอนหรือโครเมียม (โดยสำแดงว่าเป็นเหล็กอัลลอยด์) ที่นำเข้ามาจากทั้งประเทศจีนและสาธารณรัฐเกาหลีในปริมาณมาก ซึ่งทำให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาและบางรายต้องหยุดการผลิตลง ต่อมาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้มีการคุมเข้มเรื่องมาตรฐานสินค้าที่นำเข้ามากขึ้น จึงทำให้ผู้ใช้ที่ปกตินำเข้ามากลับมาใช้สินค้าในประเทศมากขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตเร่งการผลิตเพื่อชดเชยกับปริมาณสต๊อกที่ลดลงสำหรับกลุ่มเหล็กทรงยาว พบว่ามีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.17 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 47.86 รองลงมาคือเหล็กเส้นข้ออ้อย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.72 ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.59 โดยเหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 0.39 เหล็กทรงยาว มีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.07

2.ราคาเหล็ก

จากข้อมูลดัชนีราคาเหล็กต่างประเทศของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงเดือนกันยายน 2555 เทียบกับเดือนก่อนพบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กทุกตัวมีดัชนีราคาเหล็กที่ลดลง ดังนี้ เหล็กแท่งเล็ก Billet ลดลงจาก 130.73 เป็น 124.70 ลดลง ร้อยละ 4.61 เหล็กแผ่นรีดร้อน ลดลงจาก 113.64 เป็น 112.30 ลดลง ร้อยละ 1.18 เหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลงจาก 121.02เป็น 119.62 ลดลง ร้อยละ 1.16 เหล็กแท่งแบน ลดลงจาก 112.79 เป็น 111.62ลดลง ร้อยละ 1.04 เหล็กเส้น ลดลงจาก 130.31 เป็น 129.25 ลดลง ร้อยละ 0.81เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ในขณะที่ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตที่สำคัญของโลกมีการผลิตส่วนเกินเพิ่มมากขึ้นแต่ความต้องการใช้ในประเทศกลับลดลง

3. แนวโน้ม

สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนตุลาคม 2555 ในส่วนของเหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะมีการผลิตที่ทรงตัวเนื่องจากสถานการณ์การนำเข้าเหล็กที่เจือโบรอนและโครเมียมยังคงมีอยู่ ซึ่งถึงแม้ภาครัฐโดย สมอ. จะกำหนดมาตรฐานสินค้าที่นำเข้าเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคงการนำเข้าสินค้าดังกล่าวอยู่ ในขณะที่เหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าจะมีการผลิตที่ทรงตัวเนื่องจากสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศที่ยังคงทรงตัวอยู่

4. อุตสาหกรรมยานยนต์

“เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2555 บริษัท อีซูซุมอเตอร์(ประเทศไทย) จำกัด ได้มีพิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์อีซูซุแห่งใหม่ ณ นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา เงินลงทุน 6,500 ล้านบาท กำลังการผลิต120,000 คันต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับกำลังการผลิตเดิมที่สำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวม 430,000 คันต่อปี”

รถยนต์

อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกันยายน 2555 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 เนื่องจากตลาดภายในประเทศมีความต้องการรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการเพิ่มกำลังการผลิตของผู้ประกอบการรถยนต์ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกันยายน ดังนี้

  • การผลิตรถยนต์ จำนวน 228,500 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน2554 ซึ่งมีการผลิต 174,212 คัน ร้อยละ 31.16 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และมีปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม2555 ร้อยละ 8.64 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์นั่งรถยนต์กระบะ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
  • การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 132,874 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน2554 ซึ่งมีการจำหน่าย 87,012 คัน ร้อยละ 52.71 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถยนต์ PPV รวมกับ SUV และมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2555 ร้อยละ 3.56 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
  • การส่งออกรถยนต์ จำนวน 98,268 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน2554 ซึ่งมีการส่งออก 90,654 คัน ร้อยละ 8.40 ซึ่งเพิ่มขึ้นในประเทศแถบเอเชีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ และมีปริมาณการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2555 ร้อยละ 15.23 ซึ่งเพิ่มขึ้นในประเทศแถบเอเชีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรปอเมริกากลาง และอเมริกาใต้
  • แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2555 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2555 เนื่องจากความต้องการของตลาดในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเร่งใช้สิทธิตามนโยบายรถคันแรก สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2555 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 54และส่งออกร้อยละ 46

รถจักรยานยนต์

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน 2555 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เดือนกันยายน ดังนี้

  • การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 217,281 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2554 ซึ่งมีการผลิต 207,564 คัน ร้อยละ 4.68 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต แต่มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555 ร้อยละ 2.16 โดยเป็นการปรับลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว
  • การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 170,858 คัน ลดลงเล็กน้อยจากเดือนกันยายน 2554 ซึ่งมีการจำหน่าย 172,177 คันร้อยละ 0.77 โดยเป็นการปรับลดลงของรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และมีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2555 ร้อยละ 4.93 โดยเป็นการปรับลดลงของรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสกูตเตอร์
  • การส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) จำนวน 20,462คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2554 ซึ่งมีการส่งออก 29,117 คันร้อยละ 29.72 โดยเป็นการลดลงในประเทศอินโดนีเซีย และญี่ปุ่นแต่มีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม2555 ร้อยละ 10.14
  • แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนตุลาคม2555 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2555สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนตุลาคม 2555 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 89 และส่งออกร้อยละ 11
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

“อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังคงขยายตัวได้ซึ่งปัจจัยที่สนับสนุน คือ การลงทุนโครงการพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ และความต้องการใช้ในการก่อสร้างของทุกภาคส่วน สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากตลาดส่งออกหลักยังคงมีความจำเป็นต้องใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง”

1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ

ในเดือนกันยายน 2555 ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.65 และ 10.00 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.96 และ 16.19 ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังคงขยายตัวได้ดี สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของภาครัฐ ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้างของทุกภาคส่วน และการขยายกำลังการผลิตของวัสดุทดแทนไม้ที่ใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัตถุดิบหลัก

2.การส่งออก

มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ เดือนกันยายน 2555 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 8.53 เนื่องจากลูกค้านอกทวีปเอเชีย เช่น โตโก จะมียอดซื้อเป็นช่วง ๆ แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.55

เมื่อพิจารณาในภาพรวมการส่งออกยังคงทรงตัว ทั้งนี้เนื่องจากตลาดส่งออกหลักคือประเทศในแถบอาเซียนและเอเซียใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ยังมีความจำเป็นต้องใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้าง เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคนี้ซึ่งมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น และมีการขยายการลงทุนตามไปด้วย ส่วนตลาดส่งออกนอกภูมิภาค เช่น ชิลี โตโก จะมียอดส่งออกเป็นช่วง ๆ ตามความต้องการและระยะทางการขนส่งที่อยู่ห่างไกล

3.แนวโน้ม

แนวโน้มการผลิต และการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวได้ดี เนื่องจากย่างเข้าฤดูกาลก่อสร้าง โดยปัจจัยสำคัญที่จะมีส่วน สนับสนุน คือการผลักดันให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวของภาคธุรกิจการก่อสร้างต่าง ๆ รวมทั้งความต้องการผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัตถุดิบหลักเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกคาดว่ายังคงขยายตัวได้ เนื่องจากตลาดส่งออกหลักในแถบภูมิภาคนี้ และนอกภูมิภาคมีศักยภาพและมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และยังมีความจำเป็นต้องใช้ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น

6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกันยายน 2555 มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 257.32 ลดลงร้อยละ 0.44 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 35.78 ซึ่งอยู่ระหว่างการฟื้นฟูให้ได้กลับมาผลิตได้เต็มกำลังการผลิต

          ตารางที่ 1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ในเดือน ก.ย. 2555

          เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์          มูลค่า (ล้านเหรียญฯ)       %MoM            %YoY
          อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์       1,600.7             -1.5            -6.1
          วงจรรวมและไมโครแอสแซมบลี              652.3             12.3           -16.5
          เครื่องปรับอากาศ                       208.12            -17.0           -26.7
          กล้องถ่าย TV , VDO                    178.05             -3.1           -10.8
          รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์       4,667.40              1.8            -8.8

1.การผลิต

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกันยายน 2555 มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 257.32 ลดลงร้อยละ 0.44 เมื่อเทียบกับช่วงเดือนก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 35.78 เนื่องจากปัญหาอุทกภัยที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีก่อน ทำให้สายการผลิตเสียหาย และไม่สามารถผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต อย่างไรก็ตามในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนในโซ่อุปทานเริ่มกลับมาผลิตได้แล้ว เมื่อพิจารณาในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงร้อยละ 8.53 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 9.34 สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.16 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 38.96

2. การส่งออก

มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกันยายน 2555 มีมูลค่า 4,667.40 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 8.8 โดยสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าการส่งออก 1,982.43 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 3.3 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด ได้แก่เครื่องปรับอากาศ มีมูลค่าส่งออก 208.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และลดลงร้อย 26.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการปรับตัวลดลงในตลาดหลัก รองลงมาคือ กล้องถ่าย TV,VDO มีมูลค่าส่งออก 178.05 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวลดลงร้อยละ 10.8

สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 2,684.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวลดลงร้อยละ 12.5 สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงที่สุดได้แก่อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าส่งออก 1,600.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนร้อยละ 1.5 แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวลดลงร้อยละ 6.1 สำหรับวงจรรวมและไมโครแอสแซมบลีมีมูลค่าส่งออก 625.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนร้อยละ12.3 เพราะเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายปีที่ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทเพิ่มการผลิตให้ได้ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวลดลงร้อยละ 16.5 เนื่องจากอยู่ระหว่างการฟื้นฟูโรงงานและการย้ายฐานการผลิต

3. แนวโน้ม

ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เดือนตุลาคม 2555จากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมสาขาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดทำโดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแ น ว โ น้ม อุต ส ห ก ร ร มเครื่องใช้ไฟฟ้า จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนการประมาณการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ