สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม — กันยายน) พ.ศ. 2555(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 20, 2012 14:19 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 4.2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 คือ อุปสงค์ในประเทศโดยรวมเริ่มดีขึ้น ประกอบด้วยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัวขึ้น เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าคงทนโดยเฉพาะยานยนต์ที่เร่งตัวขึ้นตามยอดจำหน่ายรถยนต์ การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล สำหรับการส่งออกสินค้าและบริการกลับมาขยายตัว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ดุลการค้าและบริการขาดดุล

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 2.7 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ที่หดตัวร้อยละ 4.3 และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ที่หดตัวร้อยละ 0.1 โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา การใช้กำลังการผลิตกลับสู่ภาวะปกติมีการเร่งผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและคำสั่งซื้อที่ยังตกค้างจากในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมาโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรม Hard Disk Drive และสิ่งทอ การผลิตยังคงลดลง เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกลดลง

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะขยายตัวร้อยละ 5.5-6.0 ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.1สำหรับชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลงร้อยละ 1.13 (ม.ค.-ก.ย.55) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1)ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 175.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (178.9) ร้อยละ 1.9 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (195.5) ร้อยละ 10.2

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive น้ำตาลเครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โทรทัศน์สี เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูปผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2554 ร้อยละ 6.3 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ Hard Disk Driveชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้นดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ201.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (197.7) ร้อยละ 2.0 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี2554 (203.5) ร้อยละ 0.9

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เม็ดพลาสติก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์สี รองเท้า เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2554 ร้อยละ 1.0โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3ของปี 2555 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 184.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (188.2)ร้อยละ 2.0 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (197.5) ร้อยละ 6.6

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive น้ำตาลเบียร์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลไม้และผักแปรรูป เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive เส้นใยสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังลดลงจากช่วงเดียวกันของปี2554 ร้อยละ 2.2 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ ยานยนต์ กระดาษลูกฟูกและกระดาษแข็งลูกฟูก เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รองเท้า เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3 ของปี2555 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 65.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ64.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (ร้อยละ 65.0)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ เส้นใยสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เยื่อกระดาษ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ปูนซีเมนต์ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี2554 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สีผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 77.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา(77.8) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (79.2) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมและดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ส่วนดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่า ดัชนีในเดือนกันยายน 2555 ปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของไทยที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมและการเมืองในประเทศ

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่า 67.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (67.7) แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่า 69.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสผ่านมา (68.7) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นในผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่า95.3 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (97.0) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในรายได้ในอนาคตของตน แต่ระดับความมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3)พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่าเท่ากับ 50.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (51.0) แต่ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (50.6) โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีโดยรวมยังมีค่าสูงกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ดี สำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ดัชนีโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ การลงทุนของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี2555 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 97.1 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (104.2) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (99.5) การที่ค่าดัชนียังอยู่ระดับที่สูงกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นต่อการประกอบการในระดับที่ไม่ดี นอกจากนี้เดือนกันยายน2555 ดัชนีลดลงอยู่ที่ระดับ 94.1 จากระดับ 98.5 ในเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สี่ และค่าดัชนีต่ำกว่า 100 เป็นเดือนที่สามติดต่อกัน โดยค่าดัชนีที่ปรับลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบดัชนีด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2555 ลดลงคือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของภาคการส่งออก ในขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงานได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดนเฉพาะ SMEs รวมทั้งปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้ภาครัฐจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการให้ไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาทักษะและเพิ่มพูนองค์ความรู้ทางด้านการตลาด การค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการส่งออก เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนกันยายน 2555 อยู่ที่ระดับ 135.2 ลดลงร้อยละ 1.3 จากเดือนสิงหาคม 2555ซึ่งอยู่ที่ระดับ 137.1 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ดัชนีส่วนกลับราคาน้ำมันดิบ มูลค่าการส่งออก ณ ราคาคงที่ พื้นที่ได้รับอนุญาตการก่อสร้าง

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่าเฉลี่ย 136.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 134.7

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI)จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2555 อยู่ที่ระดับ 124.1 ลดลงร้อยละ 0.5จากเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 124.8 ตามการลดลงของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออก ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่าเฉลี่ย 124.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 125.1

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่า 146.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.6) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (139.6) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 236.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (238.1) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี2554 (206.6)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนสิงหาคม 2555 เท่านั้น) โดยเดือนสิงหาคมคม 2555 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่มีจำนวน 71,303.29 ล้านบาท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2554 ตามการเพิ่มขึ้นของปัจจัยหลักทั้ง 4 ประการข้างต้น

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 116.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (115.1) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (112.9) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ผักและผลไม้ผลไม้สดแปรรู)และอื่นๆ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาไฟฟ้า เชื้อเพลิงในบ้าน น้ำประปา กลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 มีค่าเท่ากับ 138.6 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (139.5) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (138.2) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 สำหรับราคาในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2554

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สามของปี 2555 (ข้อมูลเดือนสิงหาคม) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 39.80 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ39.54 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 99.35 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.224 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.56)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สามของปี 2555 มีจำนวน 5.680 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 14.37 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

"...การค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าโดยมูลค่าการส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกหดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก สำหรับการนำเข้ามีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงส่งผลให้ในไตรมาสที่ 3 นี้ ดุลการค้าขาดดุล 1,614.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ..."

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 การส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2555 แต่เริ่มชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก โดยในไตรมาสที่ 3 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 121,780.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 60,083.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 61,697.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 นั้นมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.27และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.72 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ดุลการค้าขาดดุล1,614.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.76 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นลดลงร้อยละ 1.70

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือนพบว่าการส่งออกในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการส่งออก 19,544.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลงร้อยละ 4.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เดือนสิงหาคม 2555 มีมูลค่า 19,750.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.95 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและกลับมาขยายตัวเพียงเล็กน้อยในเดือนกันยายน โดยมีมูลค่าการส่งออก 20,788.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

  • โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 46,015.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 76.59) สินค้าเกษตรกรรม 5,831.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.71) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,516.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(คิดเป็นร้อยละ 7.52) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิง 3,719.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.19)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกของหมวดสินค้าหลักมีมูลค่าลดลงทั้งหมดยกเว้นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.02 สำหรับสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 22.63 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 10.76 และ 4.20ตามลำดับ

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.02เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่เครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 8,015.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.42)ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7,570.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 16.45)เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,950.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 12.93) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 5,097.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 11.08) เม็ดพลาสติก 2,197.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.78) เคมีภัณฑ์ 2,173.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.72)ผลิตภัณฑ์ยาง 2,083.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.53) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,972.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.29) สิ่งทอ 1,829.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.98) และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,501.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.26) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 38,391.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 83.43 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

  • ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ซึ่งได้แก่ อาเซียน(9 ประเทศ) จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 63.27 ของการส่งออกทั้งหมดโดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกตลาดสำคัญทั้งหมดลดลง โดยการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 19.98 ประเทศจีนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 11.77 กลุ่มประเทศอาเซียนลดลงร้อยละ 8.96 ประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.32 และการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาลดลงร้อยละ 1.24 รูปที่ 3: สัดส่วนการส่งออกของไทยในตลาดต่างประเทศ

  • โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 22,104.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 35.83)รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 18,234.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 29.56) สินค้าเชื้อเพลิง 12,107.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.62) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,796.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.40) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 3,401.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.51) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 52.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.08) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภคมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.54, 19.64 และ 4.16 ตามลำดับ สำหรับการนำเข้าในหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 44.96 หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 18.89 และหมวดสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.19

  • แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 แหล่งนำเข้าที่สำ คัญได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียน (9ประเทศ) สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 50.44 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำ เข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากทุกแหล่งนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดยการนำเข้าจากสหภาพยุโรปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.45 ญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.13 กลุ่มประเทศอาเซียน และสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.86 และ 2.78 ตามลำดับ

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีมูลค่ารวม 56,926.92 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 24,075.35 ล้านบาทสำหรับเดือนสิงหาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 32,851.57 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 10,723.98 ล้านบาท และในเดือนสิงหาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 14,588.78 ล้านบาท โดยการลงทุนในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 25,312.76 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงมากที่สุดซึ่งมีเงินลงทุนเป็นจำนวน 6,106.42 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์มีการลงทุนสุทธิ 5,116.12ล้านบาท และการผลิตยางและพลาสติกซึ่งมีเงินลงทุน 4,436.52 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2555 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 13,904.46 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศสิงคโปร์ และประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 9,805.81 ล้านบาท และ 8,723.73ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 630 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 321 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 362,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากในปีก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2555 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 238 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 89,200 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 197 โครงการ เป็นเงินลงทุน 191,700 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 195 โครงการ เป็นเงินลงทุน 81,200 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2555 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 129,000 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 89,600 ล้านบาท และหมวดเคมี กระดาษ และพลาสติกมีเงินลงทุน 72,700 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นยังคงมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 242 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 142,615 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 35 โครงการ มีเงินลงทุน 6,871 ล้านบาท ประเทศฮ่องกงมีจำนวน 10 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 4,884 ล้านบาท และประเทศสหรัฐอเมริกามีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 10 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 3,774 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ