สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1 ปี 2556 (มกราคม — มีนาคม 2556)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 23, 2013 16:57 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

เศรษฐกิจไทย

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 18.9 ขยายตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 และขยายตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ที่หดตัวร้อยละ 9.0 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเร่งขึ้นจากไตร มาสที่ 3 ของปี 2555 คือ การเพิ่มขึ้นของทั้งอุปสงค์ภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าคงทนประเภทยานยนต์เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน รวมทั้งหมวดสินค้ากึ่งคงทน สินค้าไม่คงทน และบริการ ส่วนการลงทุน ขยายตัวทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ สำหรับการส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการปรับตัวเร่งขึ้นเช่นกัน

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 37.4 ขยายตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ที่หดตัวร้อยละ 1.1 และขยายตัวจากไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2554 ที่หดตัวร้อยละ 21.8 โดยเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใน ปีที่แล้ว เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสไดรฟ์ การผลิตกลับสู่ภาวะปกติโดยเฉพาะยานยนต์เร่งการผลิตเพื่อตอบสนองอุปสงค์ภายในประเทศ จากนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2556 จะขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5 จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการผลิต

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 2556 พบว่าส่วนใหญ่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน สำหรับมูลค่าการ ส่งออกในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 4.3 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 180.1 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (179.2) ร้อยละ 0.5 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (175.0) ร้อยละ 2.9

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาลเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์กระเบื้องต่างๆ ในบ้านเรือนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม เส้นใยสิ่งทอ เครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้นดัชนีการส่งสินค้าดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 204.2 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (204.6) ร้อยละ 0.2 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (182.9) ร้อยละ 11.7

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เบียร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เส้นใยสิ่งทอ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์จากคอนกรีตซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 196.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่าน มา (187.8) ร้อยละ 4.5 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (183.1) ร้อยละ 7.2

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 66.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 67.0) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (ร้อยละ 62.7)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ โทรทัศน์สี อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารสัตว์สำเร็จรูป เบียร์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาส เดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี Hard Disk Drive เส้นใยสิ่งทอ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม เฉลี่ยมีค่า 83.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (79.0) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (75.4) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีทั้ง 3 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกัน ของปี 2555

การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน จนส่งผลให้การบริโภค การลงทุน การส่งออกและการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นรวมทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ และการรับจำนำข้าวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้กำลังซื้อโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมากขึ้น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีมากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคตทุกรายการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง หากพิจารณาดัชนีในเดือนมีนาคม 2556 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และปรับตัวอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 85 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2549

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่า 73.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (69.4) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (65.3) แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่า 74.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา(70.9) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (66.5) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานโดยรวมยังไม่ ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่า 101.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (96.8) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (94.5) และอยู่ในระดับสูงกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคเห็นว่ารายได้ในอนาคตของตนจะ ปรับตัวดีขึ้น

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ตารางที่ 3) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 52.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (51.6) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (53.0) โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีโดยรวมมีค่าสูงกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดีขึ้น ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มดีขึ้น สำหรับดัชนีที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ คำสั่งซื้อทั้งหมดและการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่าในไตรมาสที่ 1ของปี 2556 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 95.4 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (95.7) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (100.9) การที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดี นอกจากนี้ เดือนมีนาคม 2556 ดัชนีปรับตัวลดลง โดยค่าดัชนีที่ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการเนื่องจาก ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการประกอบการ โดยต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อเนื่องมาจากเดือนก่อนหน้ารวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท และราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังคงต้องวางแผนการผลิตเพื่อรองรับสถานการณ์ไฟฟ้าที่อาจไม่เพียงพอจากการที่ประเทศพม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่ไทย เนื่องจากหยุดซ่อมบำรุงแท่นขุดเจาะก๊าซในช่วงเดือนเมษายน ตลอดจนสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรซึ่งเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร ขณะที่ปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นความกังวลของผู้ประกอบการในเดือนนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการได้มี ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้สร้างเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่ง ส่งเสริมและสนับสนุนการประหยัดพลังงานทดแทนที่เหมาะสมในภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาคุณภาพแรงงาน แก้ปัญหาราคา ปริมาณและคุณภาพวัตถุดิบสินค้าเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างเป็นระบบ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม 2556 อยู่ที่ระดับ 142.5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากเดือน กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 140.8 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง จำนวนนักท่องเที่ยว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล และปริมาณการส่งออก

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 141.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 140.1

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index :CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมีนาคม 2556 อยู่ที่ระดับ 131.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ0.1 จากเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 131.8 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม มูลค่าการนำเข้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 132.1 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 131.1

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption)จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่า 148.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.8) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (144.5) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการ จำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 248.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (236.1) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (214.3)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เท่านั้น) โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2556

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ มีจำนวน 65,787.91 ล้านบาท

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8)โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 105.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (104.1) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส เดียวกันของปี 2555 (101.5) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตามราคาเนื้อสัตว์สดและแปรรูป นมและผลิตภัณฑ์นม รวมทั้งกลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 139.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (139.5) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (139.5) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2556 (ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 39.338 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.809 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.66 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.245 ล้านคน(คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.62)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่หนึ่งของปี 2556 มีจำนวน 6.033 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 15.55 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

การค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2555 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับการนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 นี้ ดุลการค้าขาดดุล 7,911.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 การส่งออกมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2555 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักบางตลาดยังคงมีปัญหา และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 การค้าต่างประเทศของ ไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 121,844.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 56,966.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 64,877.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 นั้นมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 0.38 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.22 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ดุลการค้าขาดดุล 7,911.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.26 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ชะลอลงส่วนมูลค่าการนำเข้านั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.44

การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคม และ มีนาคมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือนมกราคม มีมูลค่าการส่งออก 18,269.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.09 และเดือนมีนาคมมีมูลค่า 20,769.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.55 สำหรับเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าการส่งออก 17,928.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งลดลงร้อยละ 5.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

  • โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 43,089.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 75.64) สินค้าเกษตรกรรม6,020.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.57) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,299.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.55) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิง 3,557.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.24)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกของหมวดสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.04 และ 0.55ตามลำดับ สำหรับการส่งออกในหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 7.49 และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 5.57

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7,645.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.74) เครื่อง อิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 7,579.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.59)เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,580.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 12.95) เม็ดพลาสติก 2,337.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.42) เคมีภัณฑ์ 2,332.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.41) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 2,268.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.26) ผลิตภัณฑ์ยาง2,158.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.01) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 1,950.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.53) สิ่งทอ 1,841.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.27) และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,718.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.99) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 35,411.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 82.18 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

  • ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ซึ่งได้แก่ อาเซียน(9 ประเทศ) จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 67.35 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้งหมดมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกไปยังประเทศจีนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.27 สหภาพยุโรปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.64 กลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.87 สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.64 และการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.54

  • โครงสร้างการนำเข้า

การนำ เข้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 26,136.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 40.29) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 17,345.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.73) สินค้าเชื้อเพลิง 11,390.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.56) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,659.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(คิดเป็นร้อยละ 8.72) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 4,244.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.54) และสินค้าอาวุธ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.88 หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.81 หมวดสินค้าทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.59 สำหรับการนำเข้าหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค และหมวดสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 19.36 3.93 และ 2.90 ตามลำดับ

  • แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 แหล่งนำเข้าที่สำ คัญได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียน (9 ประเทศ) สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 48.01 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากทุกแหล่งนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.23 สหภาพยุโรปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.75 กลุ่มประเทศอาเซียนและญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.96 และ 0.57ตามลำดับ

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีมูลค่ารวม 20,668.22 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคมมีมูลค่า -1,682.57 ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 22,350.79 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 5,074.68 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 20,065.75 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 12.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 25,140.43 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยางและ พลาสติกมากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 13,196.56 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 3,876.80 ล้านบาท การผลิตเครื่องจักรและเครื่องมือ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นเป็นจำนวน 1,811.68 ล้านบาท และการผลิตเคมีภัณฑ์ซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 1,566.11 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2556 คือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 12,513.87 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักรโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 5,905.49 ล้านบาทและ5,129.56 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 580 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มี จำนวนโครงการ 514 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 1 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 271,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2556 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 242 โครงการคิดเป็นเงินลงทุน 86,300 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 139 โครงการ เป็นเงินลงทุน 118,600 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 199 โครงการ เป็นเงินลงทุน 66,300 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2556 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 80,100 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 67,800 ล้านบาท และหมวดเคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติกมีเงินลงทุน 42,300 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 205 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 88,518 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 9โครงการ มีเงินลงทุน 23,120 ล้านบาท ประเทศฮ่องกงมีจำนวน 21 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 20,140 ล้านบาท และประเทศจีนมีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 10 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 16,131 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ