เศรษฐกิจไทย
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 0.6 ชะลอตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 และชะลอตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 19.1 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 คือ การหดตัวของอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวเล็กน้อย โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนและการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการหดตัวลงทั้งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การส่งออกสินค้าและบริการสุทธิขยายตัว สำหรับการนำเข้าสินค้าหดตัวต่อเนื่อง
ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 หดตัวร้อยละ 2.9 ซึ่งหดตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ที่หดตัวร้อยละ 0.5 และหดตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 37.0 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการภายในประเทศหดตัวสูง ในขณะที่ความต้องการจากต่างประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยอุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีหดตัว ส่วนอุตสาหกรรมวัตถุดิบขยายตัว
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2557 จะขยายตัวร้อยละ 3 - 4 โดยทั้งปี 2556 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.9 จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการผลิต
สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 พบว่าส่วนใหญ่มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เช่น อัตราการใช้กำลังการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน สำหรับมูลค่าการส่งออกในภาพรวม(ม.ค. - มี.ค. 57) หดตัวร้อยละ 1.0 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI)(ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 171.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ผ่านมา (170.5) ร้อยละ 0.7 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (184.8) ร้อยละ 7.0
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ปูนซีเมนต์ ปูนขาวและปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น
ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 183.3 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (186.5) ร้อยละ 1.7 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (207.9) ร้อยละ 11.8
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์เหล็กกล้า อุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปูนซีเมนต์ ปูนขาวและปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 210.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (205.9) ร้อยละ 2.4 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (195.3) ร้อยละ 8.0
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์จากสตาร์ช เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive เบียร์ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 61.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 62.1) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (ร้อยละ 67.4)
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป Hard Disk Drive อุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์สำเร็จรูป เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมเฉลี่ยมีค่า 70.1 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (75.0) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (83.5) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีทั้ง 3 มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2556
การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไทย การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย และความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและรายได้ของผู้บริโภคในอนาคต หากพิจารณาดัชนีในเดือนมีนาคม 2557 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 149 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2544เป็นต้นมา
เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่า 60.0 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (65.0) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (73.8) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคกังวล
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่า 63.9 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (68.1) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (74.9) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่า 86.4 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (91.9) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (101.7) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคเห็นว่ารายได้ในอนาคตของตนจะปรับตัวแย่ลงหรืออยู่ในระดับที่ไม่ดี
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 47.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (46.4) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (52.2) โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลง ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มไม่ดี สำหรับดัชนีที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด และการผลิตของบริษัท
จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 85.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (90.5) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (95.4) การที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดี นอกจากนี้ เดือนมีนาคม 2557 ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 57 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2552 โดยค่าดัชนีที่ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ เนื่องจากปัญหาการเมืองทำให้การบริโภค
ภายในประเทศชะลอตัว เห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น แต่ไม่สามารถปรับราคาขายได้ ทำให้ผู้ประกอบการขาดความเชื่อมั่นที่จะขยายการลงทุน และหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไปจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเห็นว่ามีความจำเป็นมากที่ภาครัฐจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองให้ยุติโดยเร็ว โดยใช้สันติวิธี หามาตรการกระตุ้น
เศรษฐกิจและส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ เร่งเจรจาการค้าระหว่างประเทศคู่ค้าสำคัญที่ยังไม่มีความตกลงระหว่างกัน เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน รวมทั้งลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน กำหนดนโยบายและโครงการสนับสนุนด้านการประหยัดพลังงานให้กับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ SMEs
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 144.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 143.3 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล และปริมาณการส่งออก
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 143.4 ลดลงจากไตรมาสที่ ผ่านมาที่มีค่า 143.8
ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมีนาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 127.3 หดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.1 จากเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 127.4 ตามการลดลงของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 128.0 ทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 128.0
ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่า 146.1 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.9) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (148.8) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่
การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 230.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (234.5) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (248.9)
หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ใน ไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556
การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2556
ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 เท่านั้น) โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ มีจำนวน 71,704.88 ล้านบาท
จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 106.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (105.9) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (104.6) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตามราคาข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์สดและแปรรูป รวมทั้งกลุ่มอาหารสดและพลังงาน
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 141.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (140.0) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (139.7) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมวดผลผลิตเกษตรกรรม และผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2557 (ข้อมูลเดือนมีนาคม 2557) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.61 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 37.90 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.16 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.340 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.88)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่หนึ่งของปี 2557 มีจำนวน 6.585 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 17.37 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสแรกของปี 2557 ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง จากทั้งมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาสินค้าในตลาดโลกที่ลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 1 นี้เกินดุลการค้าเป็นมูลค่า 706.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ยังคงลดลงต่อเนื่องจากปี 2556 ทั้งการส่งออกและการนำเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 1 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 111,716.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 56,211.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 55,505.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 นั้น มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 0.67 และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 6.25 โดยดุลการค้าในไตรมาสที่ 1 นี้ กลับมาเกินดุลการค้าโดยมีมูลค่า 706.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 1.00 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 15.41
การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมมีมูลค่า 17,907.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การส่งออกกลับมาขยายตัวในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมีมูลค่า 18,363.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43 และในเดือนมีนาคมการส่งออกกลับมาหดตัวลงอีกครั้ง โดยมีมูลค่าการส่งออก 19,940.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 43,539.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 77.46) สินค้าเกษตรกรรม 5,847.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.40) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 3,909.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.95) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 3,194.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.19)
เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเท่านั้นที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.47 สำหรับการส่งออกในหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 18.04 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 9.06 และการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมลดลงร้อยละ 2.81
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้ายานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7,872.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 18.08 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) เครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 7,790.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.89) เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,856.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.45) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 3,033.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.97)เม็ดพลาสติก 2,398.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.51) เคมีภัณฑ์ 2,163.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.97) ผลิตภัณฑ์ยาง 2,049.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.71) สิ่งทอ 1,818.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.18) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,664.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.82) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,222.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.81) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 35,870.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 82.39 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด
- ตลาดส่งออก
การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็น ร้อยละ 66.70 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ยกเว้นการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและจีน ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 5.36 และ 4.45 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.56 การส่งออกไปยังญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.45 และการส่งออกไปยัง
- โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 19,668.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 35.44) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 14,515.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.15) สินค้าเชื้อเพลิง 12,690.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 22.86) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,455.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.83) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 3,102.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.59) และสินค้าอาวุธ สหรัฐอเมริกามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.61
โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 28.73 การนำเข้าสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งลดลงร้อยละ 26.91 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 25.24 สินค้าทุนมีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 13.83 และการนำเข้าสินค้าอุปโภคมีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.78 สำหรับการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงนั้นยังคงเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1 นี้ โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.97
- แหล่งนำเข้า
ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 48.26 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากแหล่งนำเข้าสำคัญมีมูลค่าลดลงทั้งหมด โดยการนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 22.27 สำหรับการนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปมีมูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 15.63 การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาเซียน มีมูลค่าลดลงร้อยละ 9.92 และ 6.29 ตามลำดับ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มีมูลค่ารวม 78,315.5 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคมมีมูลค่า 69,741.3 ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 8,574.2 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 7,111.4 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ -1,734.7 ล้านบาท (หมายถึงมีการลงทุนในรูปของการลงทุนในเรือนหุ้น กำไรสะสมที่นำกลับมาลงทุน หรือการกู้ยืมจากบริษัทในเครือในต่างประเทศต่ำกว่าการลดการลงทุน) โดยการลงทุนรวมในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 9.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลงทุนในภาคอุตสาหกรรมมีเงินลงทุนสุทธิ 5,376.7 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงมากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 3,198.5 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตยางและพลาสติกซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 2,873.7 ล้านบาท การผลิตอาหารเป็นมูลค่าสุทธิ 1,919.4 ล้านบาท และการผลิตถ่านโค้กและปิโตรเลียมซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 458.7 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2557 คือประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 18,697.3 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 14,989.9 ล้านบาท และ 6,502.9 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 449 โครงการ ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 580 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 1 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 34,800 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงจากสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย โดยโครงการลงทุนใน ไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 157 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 11,800 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 83 โครงการ เป็นเงินลงทุน 9,900 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 209 โครงการ เป็นเงินลงทุน 13,100 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 12,300 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 8,800 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรม และผลิตผลทางการเกษตรมีเงินลงทุน 5,800 ล้านบาท
สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 109 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 10,978 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 23 โครงการ มีเงินลงทุน 2,270 ล้านบาท ประเทศจีนมีจำนวน 15 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 2,020 ล้านบาท และประเทศอินเดียมีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 4 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 1,244 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--