สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4 ปี 2556 (ตุลาคม – ธันวาคม 2556)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 28, 2014 14:06 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 2.7 ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 255 ของปี26 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.9 และชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 255 ของปี35 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 คือ อุปสงค์ในประเทศหดตัวลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนลดลง เนื่องจากการใช้จ่ายสินค้าคงทนประเภทยานยนต์หดตัวสูงภายหลังผลของนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกหมดลง การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนลดลง ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัว แต่อุปสงค์ต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะภาคบริการ แต่การส่งออกสินค้าและการนำเข้าสินค้าลดลง

ในส่วนของGDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 หดตัวร้อยละ 0.4 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ที่หดตัวร้อยละ 1.1 และปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ที่หดตัวร้อยละ 1.1 การที่ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 หดตัว เป็นผลจากความต้องการภายในประเทศหดตัวลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิตลดลง เนื่องจากความต้องการในประเทศลดลง ประกอบกับฐานที่สูงในปีที่แล้ว จากนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2556 จะขยายตัวร้อยละ 3.0 ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 และเศรษฐกิจไทยในปี 2557 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0 - 5.0

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกะป๋องและแช่แข็ง Hard Disk Drive เบียร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลงร้อยละ 0.3 (ม.ค.-ธ.ค.56) เมื่อเทียบกับปี 2555 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 170.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (173.6) ร้อยละ 1.7 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (183.6) ร้อยละ 7.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก โทรทัศน์สี เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง Hard Disk Drive เบียร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เป็นต้น

ในปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 175.9 ลดลงจากปี 2555 ร้อยละ 3.2 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 186.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (194.0) ร้อยละ 3.9 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (208.3) ร้อยละ 10.5

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์จากคอนกรีต ซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์เคมีขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นต้น

ในปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้ามีค่า 196.1 ลดลงจากปี 2555 ร้อยละ 2.3 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง อาหารสัตว์สำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 206.1 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (202.9) ร้อยละ 1.6 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (185.8) ร้อยละ 10.9

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ เบียร์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ กระดาษลูกฟูก และกระดาษแข็งลูกฟูก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ เบียร์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น

ในปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังมีค่า 201.4 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ร้อยละ 8.9 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เบียร์ น้ำตาล เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 62.2 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 63.9) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (ร้อยละ 66.6)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ เม็ดพลาสติก โทรทัศน์สี เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง อาหารสัตว์สำเร็จรูป โทรทัศน์สี เม็ดพลาสติก เป็นต้น

ในปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 64.4 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง อาหารสัตว์สำเร็จรูป ยานยนต์ โทรทัศน์สี Hard Disk Drive เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 75.0 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา(79.2) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (79.0) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่า ดัชนีในเดือนธันวาคม 2556 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 24 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 เป็นต้นมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย และความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบของทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและรายได้ของผู้บริโภคในอนาคต

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่า 65.0 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (69.3) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่า 68.1 ลดลงจากไตรมาสผ่านมา (71.5) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นในผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่า 91.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (96.6) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในรายได้ในอนาคตของตน แต่ระดับความมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 46.4 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (47.8) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (51.6) โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ไม่ดี สำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในปี 2556 ดัชนีโดยรวมมีค่า 49.3 ลดลงจากปี 2555 ที่มีค่า 51.5 โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลง คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 90.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (91.2) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (95.7) การที่ค่าดัชนียังอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นเป็นรายเดือน จะเห็นว่าดัชนีในเดือนธันวาคม 2556 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 88.3 จากเดือนพฤศจิกายน 2556 (90.3) โดยค่าดัชนีที่ปรับลดลงเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ซึ่งเกิดจากความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อความขัดแย้งทางการเมือง และสร้างปรากฎการณ์ให้ค่าดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม2554 ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าความไม่สงบทางการเมืองไม่สามารถคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น และเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภายในประเทศ รวมทั้งกระทบต่อประเทศคู่ค้าที่ชะลอคำสั่งซื้อ ประกอบกับต้นทุนการผลิต และราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลลบต่อค่าดัชนีในธันวาคม 2556 นอกจากนี้ ค่าดัชนียังอยู่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี ทั้งนี้ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและหาทางออกวิกฤตทางการเมืองด้วยสันติวิธีโดยเร็วที่สุด กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ส่งเสริมสินเชื่อเพื่อการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับผู้ประกอบการ SMEs และบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรม

ในปี 2556 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 92.6 ลดลงจากปี 2555 ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 99.5

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2556 อยู่ที่ระดับ 143.7 ขยายตัวร้อยละ 0.2 จากเดือนพฤศจิกายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 143.4 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การขยายตัวของพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล การส่งออก ณ ราคาคงที่ และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 143.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 143.8 และดัชนีในปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 143.2 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีค่าเฉลี่ย 137.3

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนธันวาคม 2556 อยู่ที่ระดับ 128.9 หดตัวร้อยละ 0.2 จากเดือนพฤศจิกายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 129.2 ตามการลดลงของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม การนำเข้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 128.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 129.5 และดัชนีในปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 130.2 ทรงตัวจากปี 2555 ที่มีค่า 130.2

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่า 147.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.9) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (148.5) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายหมวดเครื่องดื่ม

ในปี 2556 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2555 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 234.3 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (238.3) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (251.8)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนพฤศจิกายน 2556 เท่านั้น) โดยเดือนพฤศจิกายน 2556 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่มีจำนวน 68,028.25 ล้านบาท

ในปี 2556 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมลดลงจากปี 2555 ตามการลดลงของปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ และการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 105.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (105.5) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (104.1) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์สด ผักและผลไม้ รวมทั้งกลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 140.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสที่ผ่านมา (1139.1) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (139.5) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมและหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ในปี 2556 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่า 105.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีค่า 103.0 สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตในปี 2556 มีค่า 139.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีค่า 139.3

การค้าต่างประเทศ

มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ลดลงต่อเนื่อง จากทั้งมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 4 นี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักที่ยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 4 นี้ขาดดุลการค้าเป็นมูลค่า 2,612.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ชะลอตัวลงทั้งการส่งออกและการนำเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 4 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 115,793.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 56,590.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 59,203.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 นั้น มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.82 และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 2.53 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ดุลการค้ายังคงขาดดุลอย่างต่อเนื่องโดยมีมูลค่า 2,612.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 1.03 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.90

การส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการส่งออก 19,393.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าการส่งออก 18,757.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือนธันวาคมการส่งออกกลับมาขยายตัว โดยมีมูลค่าการส่งออก 18,439.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 42,372.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 74.87) สินค้าเกษตรกรรม 6,302.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 11.14) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 3,972.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.02) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 3,943.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.97)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าเกษตรกรรม และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 และ 5.27 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.46 และมูลค่าการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 1.90

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 8,132.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.19 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7,486.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.67) เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,623.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.27) เม็ดพลาสติก 2,224.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.25) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 2,173.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.13) เคมีภัณฑ์ 2,141.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.05) ผลิตภัณฑ์ยาง 2,128.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.02) สิ่งทอ 1,849.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.36) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,642.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.88) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,257.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.97) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ34,658.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 81.80 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็น ร้อยละ 69.20 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกไปยังอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.19 สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.82 สหรัฐอเมริกามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.17 และการส่งออกไปยังจีนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.87 สำหรับการส่งออก

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 20,934.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 35.36) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 15,708.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.53) สินค้าเชื้อเพลิง 13,304.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 22.47) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,878.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.93) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 3,247.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.49) และสินค้าอาวุธ ไปยังญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 4 นี้มีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.50

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้ามีเพียง 2 หมวดสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ได้แก่การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.61 และสินค้าอุปโภคบริโภคมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 0.16 สำหรับการนำเข้าสินค้าหมวดยานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 28.56 สินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 22.90 สินค้าทุนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 16.07 และหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 12.00

แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 47.58 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากแหล่งนำเข้าส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลงยกเว้นการนำเข้าสินค้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.98 สำหรับการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงค่อนข้างสูงที่ระดับร้อยละ 30.21 การนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน และสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 4.71 และ 4.55 ตามลำดับ

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนมีมูลค่ารวม 52,808.0 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนตุลาคมมีมูลค่า 21,158.6 ล้านบาท สำหรับเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 31,649.4 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 9,928.5 ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 12,778.1 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.74 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิตเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 22,706.6 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงมากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 17,433.7 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 6,075.5 ล้านบาท การผลิตถ่านโค้กและปิโตรเลียมเป็นมูลค่าสุทธิ 2,041.0 ล้านบาท และการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 1,544.4 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2556 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 30,815.1 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศสิงคโปร์และประเทศจีนโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 15,165.5 ล้านบาท และ 4,865.3 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 425 โครงการ ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 615 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 4 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 228,900 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนใน ไตรมาสที่ 4 ปี 2556 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 177 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 46,800 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 105 โครงการ เป็นเงินลงทุน 73,400 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 143 โครงการ เป็นเงินลงทุน 108,800 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 4 ปี 2556 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 108,000 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 59,000 ล้านบาท และหมวดเหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะมีเงินลงทุน 23,200 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 238 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 79,143 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศฮ่องกงได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 22 โครงการ มีเงินลงทุน 21,421 ล้านบาท ประเทศเนเธอร์แลนด์มีจำนวน 3 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 6,583 ล้านบาท และประเทศสิงคโปร์มีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 17 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 5,408 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ