สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 ปี 2556 (กรกฎาคม – กันยายน 2556)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 27, 2013 13:11 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ส่วนของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.4 และขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.4 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 คือ การชะลอลงของอุปสงค์ในประเทศ ในขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนชะลอลง สินค้าประเภทคงทนและกึ่งคงทนชะลอลง ในขณะที่กลุ่มสินค้าไม่คงทนและกลุ่มบริการยังขยายตัว การลงทุนชะลอตัวลงทั้งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน การส่งออกสินค้าและบริการสุทธิหดตัว ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของภาครัฐขยายตัวในไตรมาสนี้

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 หดตัวร้อยละ 1.0 หดตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 และหดตัวจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 โดยเป็นผลมาจากการลดลงในกลุ่มอุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมสินค้าทุน ส่วนอุตสาหกรรมวัตถุดิบทรงตัวเป็นผลจากความต้องการจากต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัวและความต้องการใช้ภายในประเทศชะลอตัวต่อเนื่อง

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2556 จะขยายตัวร้อยละ 3.8-4.3 ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.5

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป Hard Disk Drive โทรทัศน์สี เครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 0.05 (ม.ค.-ก.ย.56) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับความเชื่อมั่นธุรกิจและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)
          ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1)        ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 173.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (174.4) ร้อยละ 0.5 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (180.0) ร้อยละ 3.6

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ น้ำตาล เสื้อผ้าสำเร็จรูป โทรทัศน์สี เครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป Hard Disk Drive โทรทัศน์สี เครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 1.9 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียม เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 194.0 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (195.7) ร้อยละ 0.9 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (205.6) ร้อยละ 5.6

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก โทรทัศน์สี เส้นใยสิ่งทอ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ เส้นใยสิ่งทอ Hard Disk Drive โทรทัศน์สี ผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 0.6 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องปรับอากาศ เส้นใยสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 203.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (199.9) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (182.9) ร้อยละ 11.0

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive เส้นใยสิ่งทอ น้ำตาล อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง น้ำมันพืช ผลไม้และผักแปรรูป เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ น้ำตาล Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 7.7 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์พลาสติก แป้งมัน กลูโคส น้ำตาล เป็นต้น อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 64.0 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 64.1) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (ร้อยละ 66.6)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี น้ำตาล เส้นใยสิ่งทอ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี เส้นใยสิ่งทอ เม็ดพลาสติก เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง อาหารสัตว์สำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม Hard Disk Drive โทรทัศน์สี เป็นต้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 79.2 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา(82.6) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (77.5) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับ

โอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่า ดัชนีในเดือนกันยายน 2556 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองไทยในอนาคต

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่า 69.3 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (72.9) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่า 71.5 ลดลงจากไตรมาสผ่านมา (74.5) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อ

ภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นในผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่า 96.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (100.5) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในรายได้ในอนาคตของตน แต่ระดับความมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 47.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (50.9) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (50.6) โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจไม่ดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ไม่ดี สำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีโดยรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลง คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 91.2 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (93.4) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (97.1) การที่ค่าดัชนีอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นต่อการประกอบการในระดับที่ไม่ดี นอกจากนี้เดือนกันยายน 2556 ดัชนีลดลงอยู่ที่ระดับ 90.4 จากระดับ 91.3 ในเดือนสิงหาคม 2556 ค่าดัชนีต่ำกว่า 100 เป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน โดยค่าดัชนีที่ปรับลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบดัชนีด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่

ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2556 ลดลงคือ ความกังวลของผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการผลิตและการคมนาคมขนส่ง ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง ความกังวลต่อปัญหาการเมือง ยังเป็นปัจจัยลบต่อการดำเนินกิจการที่ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการหวังว่าการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะมีความชัดเจนและจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในระยะต่อไป ซึ่งผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้ภาครัฐจัดหาแหล่งเงินทุนกู้ยืมให้กับ

ผู้ประกอบการที่ประสบภัยน้ำท่วมเพื่อฟื้นฟูกิจการ ซ่อมแซมเครื่องจักรและอาคารสำนักงาน ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนมาก หามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น สร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมือง รักษาระดับราคา พลังงานและค่าไฟฟ้าให้เหมาะสม เนื่องจากเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนกันยายน 2556 อยู่ที่ระดับ 144.3 ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.1 จากเดือนสิงหาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 144.2 โดยเครื่องชี้ที่ขยายตัว ได้แก่ พื้นที่ได้รับอนุญาตการก่อสร้างในเขตเทศบาล ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 144.1 ขยายตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 143.8

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2556 อยู่ที่ระดับ 129.0 หดตัวร้อยละ 0.8 จากเดือนสิงหาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 130.1 ตามการหดตัวของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ มูลค่าการส่งออก ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 129.6 หดตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 130.9 การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่า 147.0 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (147.3) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (150.2) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่าย

เครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 240.7 ทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา (240.7) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (250.3) หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนสิงหาคม 2556 เท่านั้น) โดยเดือนสิงหาคม 2556 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่มีจำนวน 84,717.23 ล้านบาท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 105.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (105.1) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (103.7) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์สด เนื้อสัตว์แปรรูป รวมทั้งกลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 139.1 ปรับตัวลดลงจาก ไตรมาสที่ผ่านมา (140.0) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (138.6) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 และราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับราคาในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สามของปี 2556 (ข้อมูลเดือนสิงหาคม) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 39.31 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.94 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 99.06 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.316 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.81)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สามของปี 2556 มีจำนวน 5.551 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 14.26 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ลดลงต่อเนื่องจาก ไตรมาสก่อนหน้า จากการนำเข้าที่มีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 3 นี้กลับมาขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มฟื้นตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าลดลง สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 นี้ขาดดุล 1,902.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ชะลอตัวลงทั้งการส่งออกและการนำเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 3 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 119,574.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 58,835.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 60,738.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 นั้น มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.43 และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 6.12 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ดุลการค้ายังคงขาดดุลแต่มีมูลค่าลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีมูลค่า 1,902.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 2.08 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.55

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 19,064.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.48 สำหรับเดือนสิงหาคม การส่งออกกลับมาขยายตัวโดยมีมูลค่าการส่งออก 20,467.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.92 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลับมาชะลอตัวลงอีกครั้งในเดือนกันยายน โดยมีมูลค่าการส่งออก 19,303.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน

โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 45,195.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 76.82) สินค้าเกษตรกรรม 5,392.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.17) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,214.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.16) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 4,033.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.85)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าส่วนใหญ่ลดลงยกเว้นการส่งออกในหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.43 โดยการส่งออกในหมวดสินค้าเกษตรมีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.52 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.70 และสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าส่งออกลดลง ร้อยละ 1.78

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 8,251.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 18.26 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7,984.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.67) เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,788.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 12.81) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 3,657.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.09) เม็ดพลาสติก 2,257.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.00) เคมีภัณฑ์ 2,234.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.94) ผลิตภัณฑ์ยาง 2,086.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.62) สิ่งทอ 1,908.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.22) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,720.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.81) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,382.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.06) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 37,272.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 82.47 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็น ร้อยละ 66.10 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังอาเซียน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกไปยังอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.14 สหภาพยุโรปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.46 และมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.73 สำหรับการส่งออกไปยังญี่ปุ่นและจีนมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 10.27 และ 0.74 ตามลำดับ

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 23,526.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 38.73) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 16,269.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.79) สินค้าเชื้อเพลิง 11,788.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.41) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,511.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.07) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 3,548.9 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.84) และสินค้าอาวุธยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 94.0 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.15) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 79.26 หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.25 และหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.37 สำหรับการนำเข้าในหมวดสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดสินค้าทุน และหมวดสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าการนำเข้าลดลงในไตรมาสที่ 3 นี้ คิดเป็นร้อยละ 15.38 10.04 และ 2.64 ตามลำดับ

แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 48.94 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.67 และการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 0.82 สำหรับการนำเข้าจากญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกามีมูลค่าลดลง โดยการนำเข้าจากญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 18.49 และจากสหรัฐอเมริกาลดลงร้อยละ 3.57

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีมูลค่ารวม 99,025.0 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 64,190.8 ล้านบาท สำหรับเดือนสิงหาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 34,834.2 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนใน

ภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 31,648.3 ล้านบาท และในเดือนสิงหาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 23,815.6 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.03 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิตเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 55,463.9 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงมากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 30,597.9 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 9,695.2 ล้านบาท การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นมูลค่าสุทธิ 8,235.4 ล้านบาท และการผลิตยางและพลาสติกซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 5,070.7 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2556 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 51,641.4 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศเนเธอร์แลนด์และประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 10,985.2 ล้านบาท และ 8,234.2 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 483 โครงการ ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 630 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 348,000 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 188 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 55,800 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 143 โครงการ เป็นเงินลงทุน 210,200 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 152 โครงการ เป็นเงินลงทุน 82,000 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2556 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 200,000 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 66,600 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรม และผลิตผลการเกษตรมีเงินลงทุน 35,900 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 161 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 75,130 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 20 โครงการ มีเงินลงทุน 6,799 ล้านบาท ประเทศไต้หวันมีจำนวน 15 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 3,203 ล้านบาท และประเทศเกาหลีใต้มีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 10 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 1,602 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ