สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 2 ปี 2556 (เมษายน มิถุนายน 2556)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 28, 2013 14:10 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 5.3 เป็นการขยายตัวในระดับปกติ ซึ่งชะลอลงจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 19.1จากผลของฐานการผลิตที่ต่ำจากอุทกภัยในปี 2554 แต่ขยายตัวจากจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 คือ การชะลอลงของทั้งอุปสงค์ภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนชะลอลง ซึ่งสินค้าคงทนประเภทยานยนต์ยังคงขยายตัวสูง รวมทั้งหมวดสินค้ากึ่งคงทนที่ยังขยายตัว ส่วนสินค้าไม่คงทนและบริการหดตัวลง สำหรับการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวชะลอลง การลงทุนโดยรวมขยายตัวชะลอลง เป็นผลจากการชะลอตัวของทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ สำหรับการส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการชะลอลงเช่นกัน

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ขยายตัวร้อยละ 4.8 ชะลอลงจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 37.0 และขยายตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 ที่หดตัวร้อยละ 4.3 การที่ GDP สาขาอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากไตรมาส ที่ 4 ของปี 2555 เป็นการขยายตัวในระดับปกติ โดยขยายตัวดีในกลุ่มยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2556 จะขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5 ขยายตัวชะลอลงจากปี 2555 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.4

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.95 (ม.ค.-มิ.ย.56) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 และการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 170.4 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (181.0) ร้อยละ 5.9 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (179.8) ร้อยละ 5.2

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ น้ำตาล Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับและเพชรพลอย เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป โทรทัศน์สีและวิทยุ เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 1.1 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป โทรทัศน์สีและวิทยุ เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 192.3 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (204.8) ร้อยละ 6.1 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (198.7) ร้อยละ 3.2

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารสัตว์สำเร็จรูป โทรทัศน์สีและวิทยุ เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 3.9 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องปรับอากาศ เส้นใยสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 199.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (197.9) ร้อยละ 0.8 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (189.1) ร้อยละ 5.5

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ เบียร์ เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก Hard Disk Drive น้ำตาล เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์พลาสติก น้ำตาล เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ร้อยละ 6.6 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 63.4 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 67.1) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (ร้อยละ 65.2)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม Hard Disk Drive อาหารสัตว์สำเร็จรูป โทรทัศน์สีและวิทยุ เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สีและวิทยุ เส้นใยสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 82.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (83.5) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (77.8) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายการเงิน (QE) ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต ความกังวลเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออก การท่องเที่ยว และการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม ความกังวลเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วโดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่ผู้บริโภครู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้หากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่าดัชนีรวมและดัชนีทุกรายการในเดือนมิถุนายน 2556 ปรับตัวลดลง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายการเงิน (QE) ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต ประกอบกับศาลปกครองกลางที่มีคำสั่งให้รัฐบาลชะลอโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทก่อนดำเนินโครงการก่อสร้าง และการปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกลงเหลือ 12,000 บาทต่อตัน ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคต

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่า 72.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (73.8) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่า 74.5 ลดลงจากไตรมาสผ่านมา (74.9) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นในผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่า 100.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (101.7) แต่อยู่ในระดับสูงกว่า 100 แม้ว่าผู้บริโภคจะกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตแต่ระดับความเชื่อมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 50.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (52.2) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (51.0) โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีโดยรวมยังมีค่าสูงกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ดี สำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ดัชนีโดยรวมปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของ ปี 2555 โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลง คือ ผลประกอบการของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 93.4 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (95.4) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (104.2) การที่ค่าดัชนียังอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดี อย่างไรก็ตาม เดือนมิถุนายน 2556 ดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 93.1 จากระดับ 94.3 ในเดือนพฤษภาคม 2556 และอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 โดยค่าดัชนีที่ปรับลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2556 ลดลง คือ ความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองที่ผู้ประกอบการให้น้ำหนักมากขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันภาคการส่งออกมีสัญญานการชะลอตัวจากความเปราะบางของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ตลอดจนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลายหน่วยงานเริ่มปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้ภาครัฐหามาตการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ขยายขอบเขตความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาดสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพื่อทดแทนสินค้านำเข้าที่ด้อยคุณภาพและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้กับผู้ประกอบการ SMEs

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมิถุนายน 2556 อยู่ที่ระดับ 144.2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 143.7 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้วัด ได้แก่ เงินทุนจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง จำนวนนักท่องเที่ยว

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 144.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส ที่ผ่านมาที่มีค่า 141.5

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมิถุนายน 2556 อยู่ที่ระดับ 130.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 130.4 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ มูลค่าการส่งออก ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่าเฉลี่ย 130.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ที่มีค่าเฉลี่ย 131.8

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่า 147.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (148.8) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (146.5) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 240.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (249.7) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (247.8)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 105.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (104.6) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2554 (102.7) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์สดและเนื้อสัตว์แปรรูป ผักและผลไม้ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคากลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 มีค่าเท่ากับ 140.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (139.7) และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 (139.5) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ส่วนราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555 สำหรับราคาในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2555

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สองของปี 2556 (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 39.494 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.847 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.36 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.303 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.77)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สองของปี 2556 มีจำนวน 5.745 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14.79 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

การค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมูลค่าการส่งออกชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ความผันผวนของค่าเงินบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าลดลงเช่นกัน สำหรับการนำเข้ามีมูลค่าลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 2 นี้ยังคงขาดดุล 8,360.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ชะลอตัวลงทั้งการส่งออกและการนำเข้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ค่าเงินบาทผันผวนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2556 โดยในไตรมาสที่ 2 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 121,035.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 56,337.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 64,698.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 นั้นมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 1.10 และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 0.28 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ดุลการค้ายังคงขาดดุลต่อเนื่องซึ่งมีมูลค่า 8,360.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 2.21 ส่วนมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.36

การส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกในเดือนเมษายนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 17,409.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.89 สำหรับเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน การส่งออกเริ่มชะลอตัวลงโดยมีมูลค่าการส่งออก 19,830.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 19,098.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกในเดือนพฤษภาคมลดลงร้อยละ 5.25 และเดือนมิถุนายนลดลงร้อยละ 3.38

โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 43,324.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 76.90) สินค้าเกษตรกรรม 5,003.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.88) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,813.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.54) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิง 3,195.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.67)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าส่วนใหญ่ลดลงยกเว้นการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.05 โดยการส่งออกในหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 20.74 สินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าลดลงร้อยละ 12.84 และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 3.04

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.05 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 7,820.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 18.05 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7,580.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.50) เครื่องใช้ไฟฟ้า 6,008.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.87) เคมีภัณฑ์ 2,397.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.53) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 1,950.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.32) เม็ดพลาสติก 2,217.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.12) ผลิตภัณฑ์ยาง 2,158.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.93) สิ่งทอ 1,883.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.35) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,704.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.94) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,441.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.33) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 43,324.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 81.93 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ- อเมริกา และสหภาพยุโรป มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 67.32 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง โดยการส่งออกไปยังประเทศจีนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 13.42 ญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.16 การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกามีมูลค่าลดลงร้อยละ 4.46 และ 3.50 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.32

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 24,331.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 37.61) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 16,917.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.15) สินค้าเชื้อเพลิง 14,114.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 21.82) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,519.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.53) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 3,765.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น ร้อยละ 5.82) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 49.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.08) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.03 หมวดสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.43 หมวดสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.56 หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.84 และหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.60 สำหรับการนำเข้าในหมวดสินค้าทุนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.70

แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 48.12 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นเท่านั้นที่มีมูลค่าลดลง โดยมีมูลค่าลดลงร้อยละ 17.95 สำหรับการนำเข้าจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.96 20.95 และ 11.61 ตามลำดับ

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนเมษายนและพฤษภาคมมีมูลค่ารวม 75,021.6 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนเมษายนมีมูลค่า 47,698.0 ล้านบาท สำหรับเดือนพฤษภาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 27,323.6 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนเมษายนมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 6,916.8 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 8,926.9 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนเมษายนและพฤษภาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 32.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัยเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 32,810.1 ล้านบาท สำหรับการลงุทนในสาขาอุตสาหกรรมนั้นมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 15,843.7 ล้านบาท โดยลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์มากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 7,144.4 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตยางและ พลาสติกซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 2,278.2 ล้านบาท การผลิตถ่านโค้กและปิโตรเลียมเป็นจำนวน 1,813.6 ล้านบาท และการผลิตเครื่องจักร และเครื่องมือซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 1,456.0 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2556 คือประเทศสหราชอาณาจักรซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 30,032.1 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์โดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 13,441.3 ล้านบาท และ 11,817.9 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 528 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 502 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 2 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 179,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 201 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 46,400 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 144 โครงการ เป็นเงินลงทุน 54,300 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 183 โครงการ เป็นเงินลงทุน 78,500 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 67,400 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเงินลงทุน 34,400 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรม และผลิตผลการเกษตรมีเงินลงทุน 32,000 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 169 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 35,940 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศฮ่องกงได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 9 โครงการ มีเงินลงทุน 13,848 ล้านบาท ประเทศสิงคโปร์มีจำนวน 24 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 4,772 ล้านบาท และประเทศสหรัฐอเมริกามีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 20 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 4,359 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ