สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 2 ปี 2557 (เมษายน - มิถุนายน 2557)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday September 2, 2014 16:42 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

เศรษฐกิจไทย

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 หดตัวร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ซึ่งขยายตัวที่ร้อยละ 0.6 และหดตัวลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.4 โดยปัจจัยที่ทำให้หดตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 คือ การหดตัวลงของอุปสงค์ในประเทศและอุปสงค์ต่างประเทศ โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนหดตัว ส่วนการลงทุนหดตัวทั้งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน การนำเข้าสินค้าหดตัวต่อเนื่อง สำหรับการใช้จ่ายการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัว

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 หดตัวร้อยละ 2.7 ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ที่หดตัวร้อยละ 2.8 และหดตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 การที่ GDP สาขาอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี 2556 เนื่องจากความต้องการภายในประเทศลดลง แม้ว่าการส่งออกจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยอุตสาหกรรมเบาหดตัว เป็นผลจากการผลิตหนังและเครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์ยาสูบลดลง อุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีหดตัว เป็นผลจากการผลิตยานยนต์ การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ลดลง ส่วนอุตสาหกรรมวัตถุดิบขยายตัวต่ำ เป็นผลจากอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันขยายตัวต่ำตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่อโลหะ และโลหะพื้นฐานการผลิตลดลงตามการก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ลดลง

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2557 จะขยายตัวร้อยละ 1.5-2.5 จากปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.9

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 พบว่า บางตัวยังมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.35 (ม.ค.-มิ.ย.57) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 และการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 165.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (171.7) ร้อยละ 3.5 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (174.4) ร้อยละ 5.0

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องประดับเพชรพลอย เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เบียร์เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 6.1 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 179.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (183.4) ร้อยละ 1.9 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (195.7) ร้อยละ 8.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องประดับเพชรพลอย เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เบียร์เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 10.0 โดย อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าลดลง ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 199.2 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (211.0) ร้อยละ 5.6 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (197.0) ร้อยละ 1.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ เบียร์ ยานยนต์ Hard Disk Drive เครื่องปรับอากาศ สบู่ ผงซักฟอก เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยานยนต์ เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 4.6 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยานยนต์ น้ำตาล Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 59.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 61.8) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (ร้อยละ 64.0)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน เส้นใยสิ่งทอ เม็ดพลาสติก เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 71.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา(70.1) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (82.6) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากมีความมั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองไทยว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น และคิดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ประกอบกับการที่ชาวนาได้รับเงินจากโครงการจำนำข้าวจะส่งผลให้กำลังซื้อทั่วประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของรายได้ของผู้บริโภคในอนาคต

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่า 61.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (60.0) แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่า 64.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสผ่านมา (63.9) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นในผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่า 87.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (86.4) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แม้ว่าผู้บริโภคจะกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตแต่ระดับความเชื่อมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 47.0 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา (47.1) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (50.9) โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีโดยรวมยังมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจแย่ลง ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มยังไม่ดี สำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ การลงทุนของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีโดยรวมปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของ ปี 2556 โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลง คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 85.8 ทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา (85.8) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (93.4) การที่ค่าดัชนียังอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นว่าภาวการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดี หรือมีสภาพแย่ลง อย่างไรก็ตาม เดือนมิถุนายน 2557 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 อยู่ที่ระดับ 88.4 จากระดับ 85.1 ในเดือนพฤษภาคม 2557 แต่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 โดยค่าดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2557 เพิ่มขึ้น คือ ผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การยกเลิกการประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว ทำให้ภาพรวมของการดำเนินกิจการมีความสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับอยู่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก ทำให้คำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ประเภทเสื้อผ้ากีฬา รองเท้ากีฬา อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องรับโทรทัศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และสร้างความเข้าใจกับประเทศคู่ค้า เพื่อลดผลกระทบด้านการส่งออก กรณีสหรัฐอเมริกาออกประกาศลดอันดับการค้ามนุษย์ของไทยอยู่ในระดับ Tier 3 ให้หน่วยงานภาครัฐเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการในการขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ เร่งพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบราง ถนน และท่าเรือ เพื่อทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของ AEC และปรับปรุงระเบียบขั้นตอนการขอใบอนุญาตและพิธีการเพื่อสนับสนุนภาคเอกชน

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมิถุนายน 2557 อยู่ที่ระดับ 142.7 หดตัวร้อยละ 0.3 จากเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 143.1 ตามการหดตัวของเงินทุนจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล และการส่งออก ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 143.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส ที่ผ่านมาที่มีค่า 143.1

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมิถุนายน 2557 อยู่ที่ระดับ 126.7 หดตัวร้อยละ 1.2 จากเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 128.2 ตามการหดตัวของทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ และการนำเข้า ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 127.5 หดตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 127.7

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่า 146.34 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.19) แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (147.31) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและ รถจักรยานยนต์

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 231.23 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (231.26) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (239.56)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส ที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ตามการลดลงของปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 107.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (106.7) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (105.1) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์น้ำตาล รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาไฟฟ้า เชื้อเพลิง เครื่องดื่มมีแฮลกอฮอลล์ กลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 142.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (141.4) และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (140.0) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ส่วนราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สองของปี 2557 (ข้อมูลเดือนมิถุนายน) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.928 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.377 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.58 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.447 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.15)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สองของปี 2557 มีจำนวน 6.277 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 16.36 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 กลับมาขยายตัวจากทั้งมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการค้ายังคงลดลงจากการนำเข้าที่มีมูลค่าลดลง เนื่องจากมูลค่านำเข้าสินค้าเพื่อการลงทุนลดลงตามการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศ สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 2 นี้ ขาดดุลการค้าเป็นมูลค่า 469.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 การส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัวเล็กน้อย จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก สำหรับการนำเข้ายังคงมีมูลค่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 2 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 113,456.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 56,493.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 56,962.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 นั้น มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.50 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.63 สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 2 นี้ กลับมาขาดดุลการค้าอีกครั้ง โดยมีมูลค่า 469.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 0.30 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 12.59

การส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 มีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกของเดือนเมษายนมีมูลค่า 17,249.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.87 และในเดือนพฤษภาคมมีมูลค่า 19,401.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.14 สำหรับการส่งออกในเดือนมิถุนายนกลับมาขยายตัว ร้อยละ 3.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 19,842.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 43,755.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 77.45) สินค้าเกษตรกรรม 5,146.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.11) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 4,492.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.95) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 3,098.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.49)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.00 และสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.97 สำหรับการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.60 และ 3.00 ตามลำดับ

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.00 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 7,963.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 18.20 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบมีมูลค่าการส่งออก 7,450.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.03) เครื่องใช้ไฟฟ้า 6,069.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.87) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 2,522.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.77) เม็ดพลาสติก 2,505.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.73) เคมีภัณฑ์ 2,223.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.08) ผลิตภัณฑ์ยาง 1,929.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.41) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,911.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.37)สิ่งทอ 1,900.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.34) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,337.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.06) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 35,815.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 81.85 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่นมีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 67.71 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ยกเว้นการส่งออกไปยังญี่ปุ่นและจีน ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 4.91 และ 4.21 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.44 การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.85 และการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.23

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 20,892.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 36.68) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 14,890.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.14) สินค้าเชื้อเพลิง 12,787.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 22.45) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,533.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.71) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 2,797.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.91) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 61.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.11) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งลดลงร้อยละ 25.70 การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 13.92 สินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 12.70 และสินค้าทุนมีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 11.99 สำหรับการนำเข้าสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.62 และสินค้าอุปโภคมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35

แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 48.27 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากแหล่งนำเข้าสำคัญมีมูลค่าลดลงทุกแหล่งนำเข้า โดยการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกามีมูลค่าลดลงร้อยละ 22.99 การนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 12.86 การนำเข้าจากสหภาพยุโรปมีมูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 9.28 และกลุ่มประเทศอาเซียน มีมูลค่าลดลงร้อยละ 8.06

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนเมษายนและพฤษภาคมมีมูลค่ารวม 76,899.3 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนเมษายนมีมูลค่า 45,457.1 ล้านบาท สำหรับเดือนพฤษภาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 31,442.2 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนเมษายนมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 9,890.5 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 13,717.3 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนเมษายนและพฤษภาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 5.13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 การลงทุนในกิจกรรมการผลิตหรือสาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 23,607.9 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์มากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 12,879.3 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 9,114.9 ล้านบาท การผลิตยางและพลาสติกเป็นมูลค่าสุทธิ 1,430.2 ล้านบาท และการผลิตกระดาษซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 1,272.4 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2557 คือประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 13,776.5 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์โดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 11,704.3 ล้านบาท และ 9,314.3 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 295 โครงการ ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 528 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 2 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 150,600 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากที่นักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุนเพื่อรอความชัดเจนของสถานการณ์การเมือง โดยโครงการลงทุนใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2557 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 125 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 46,100 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 66 โครงการ เป็นเงินลงทุน 87,800 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 104 โครงการ เป็นเงินลงทุน 16,700 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 2 ปี 2557 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนที่มีเงินลงทุนมากที่สุด คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 102,900 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดเหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะมีเงินลงทุน 18,100 ล้านบาท และหมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 16,100 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 46 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 4,566 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 8 โครงการ มีเงินลงทุน 1,556 ล้านบาท ประเทศสหราชอาณาจักรมีจำนวน 3 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 739 ล้านบาท และประเทศไต้หวันมีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 4 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 239 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ