สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 ปี 2557 (กรกฎาคม – กันยายน 2557)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 5, 2015 17:36 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

เศรษฐกิจไทย

ส่วนของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ขยายตัวร้อยละ 0.4 ขยายตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ที่หดตัวร้อยละ 0.5 แต่ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.9 โดยปัจจัยที่ทำให้ขยายตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 คือ การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในประเทศและอุปสงค์ต่างประเทศ โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสินค้ากึ่งคงทน ไม่คงทน และบริการสุทธิยังคงขยายตัว ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนปรับตัวดีขึ้น ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การส่งออกสินค้าและบริการสุทธิขยายตัว สำหรับการนำเข้าสินค้าหดตัวต่อเนื่อง

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 หดตัวร้อยละ 1.6 หดตัวน้อยลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ที่หดตัวร้อยละ 2.7 และหดตัวจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ที่หดตัวร้อยละ 1.1 โดยเป็นผลมาจากความต้องการภายในประเทศและต่างประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยอุตสาหกรรมวัตถุดิบปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันขยายตัวสูงขึ้น เนื่องจากฐานการผลิตปีที่แล้วต่ำ และความต้องการเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนการผลิตอุตสาหกรรมเบาลดลงตามการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกายที่ลดลง สำหรับอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีลดลง ตามการผลิตยานยนต์ที่ยังคงลดลง จากความต้องการในประเทศที่ลดลง แต่การส่งออกปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เริ่มกลับมาขยายตัวตามความต้องการจากตลาดต่างประเทศ

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2557 จะขยายตัวร้อยละ 1.5-2.0 ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.9

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 พบว่า บางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัวร้อยละ 0.85 (ม.ค.-ก.ย.57) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 สำหรับความเชื่อมั่นธุรกิจเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 166.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (165.7) ร้อยละ 0.7 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (173.6) ร้อยละ 3.9

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ยานยนต์ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย น้ำตาล รถจักรยานยนต์ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 5.3 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 180.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (179.8) ร้อยละ 0.4 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (194.0) ร้อยละ 6.9

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี ลวดและเคเบิ้ลที่หุ้มฉนวน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์เหล็ก ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 9.0 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าลดลง ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน รถจักรยานยนต์ น้ำตาล เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 194.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (199.0) ร้อยละ 2.1 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (203.2) ร้อยละ 4.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ยานยนต์ น้ำตาล เบียร์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ Hard Disk Drive เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ เบียร์ Hard Disk Drive เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ผลไม้และผักแปรรูป เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 1.5 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม Hard Disk Driveเป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 60.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 59.5) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (ร้อยละ 63.9)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เส้นใยสิ่งทอ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เม็ดพลาสติก เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 79.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (71.2) แต่ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (79.2) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำเพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 สำหรับดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่า ดัชนีในเดือนกันยายน 2557 ปรับตัวลดลงทุกรายการและเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นและเริ่มมีสญญาณชะลอตัวลง อันเป็นผลมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวต่ำโดยเฉพาะยางพาราและข้าว นอกจากนี้การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวส่งผลให้ผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ของผู้บริโภคในอนาคต

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่า 69.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (61.2) แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่า 72.7 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสผ่านมา (64.7) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่า 95.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (87.6) แต่อยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในรายได้ในอนาคตของตน แต่ระดับความมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสหางานทำ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 49.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (47.0) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (47.8) โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจไม่ดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ไม่ดี สำหรับดัชนีที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 คือ คำสั่งซื้อทั้งหมดของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ดัชนีโดยรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลง คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมดของบริษัท การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 88.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (85.8) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (91.2) การที่ค่าดัชนีอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นต่อการประกอบการในระดับที่ไม่ดี นอกจากนี้เดือนกันยายน 2557 ดัชนีลดลงอยู่ที่ระดับ 86.1 จากระดับ 88.7 ในเดือนสิงหาคม 2557 เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยค่าดัชนีที่ปรับลดลงเป็นผลมาจากการลดลงขององค์ประกอบดัชนีด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2557 ลดลงคือ ความกังวลเกี่ยวกับความซบเซาของภาวะเศรษฐกิจ และการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ การแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงปัญหาสภาพคล่อง ทำให้ผู้ประกอบการขาดแรงกระตุ้นในการขยายการลงทุน ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงของการฟื้นตัว ผู้ประกอบการเห็นว่าการขยายตลาดการค้าชายแดนจะเป็นโอกาสให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จะต้องแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้การค้าการลงทุนมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ แก้ไขปัญหาและอุปสรรคการค้าชายแดน เช่น การผ่อนคลายระเบียบต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้มีการเชื่อมโยงกัน รักษาระดับราคาพลังงานและค่าไฟฟ้าให้เหมาะสม เนื่องจากเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานด้านข้อมูลการค้าการลงทุนเกี่ยวกับการเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านให้กับผู้ประกอบการ SMEs

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนกันยายน 2557 อยู่ที่ระดับ 146.2 ขยายตัวร้อยละ 1 จากเดือนสิงหาคม 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 144.7 โดยเครื่องชี้ที่ขยายตัว ได้แก่ พื้นที่ได้รับอนุญาตการก่อสร้างในเขตเทศบาล จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ณ ราคาคงที่

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 144.9 ขยายตัวร้อยละ 1.3 จากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 143.1

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2557 อยู่ที่ระดับ 127.3 หดตัวร้อยละ 0.3 จากเดือนสิงหาคม 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 127.7 ตามการหดตัวของเครื่องชี้วัด ได้แก่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ

สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 127.3 หดตัวร้อยละ 0.1 จากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 127.3

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่า 146.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.2) และไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (146.5) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าในกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง คือ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 226.9 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (229.9) และไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (238.1)

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงไตรมาสเดียวกันของปี 2556 การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2556

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทำรายงานฉบับนี้ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนสิงหาคม 2557 เท่านั้น) โดยเดือนสิงหาคม 2557 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่มีจำนวน 67,851.44 ล้านบาท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมปรับตัวลงลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ตามการลดลงของปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 107.6 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (107.7) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (105.5) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการลดลงของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามผักและผลไม้ รวมทั้งกลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 139.2 ปรับตัวลดลงจาก ไตรมาสที่ผ่านมา (142.0) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (139.1) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 และราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สามของปี 2557 (ข้อมูลเดือนกันยายน 2557) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.85 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.45 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.97 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.310 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.80)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สามของปี 2557 มีจำนวน 6.283 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 16.34 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ยังคงขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากทั้งมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการค้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 นี้ ขาดดุลการค้าเป็นมูลค่า 1,754.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 การส่งออกกลับมาหดตัวลงอีกครั้ง สำหรับการนำเข้ายังคงมีมูลค่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ระดับการหดตัวลดลง โดยในไตรมาสที่ 3 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 117,258.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 57,752.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 59,506.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 นั้น มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.23 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.47 สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 นี้ กลับมาขาดดุลการค้าอีกครั้ง โดยมีมูลค่า 1,754.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 1.80 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.31

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกของเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 18,896.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.85 และในเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 18,943.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.40 สำหรับการส่งออกในเดือนกันยายนกลับมาขยายตัว ร้อยละ 3.19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 19,912.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 44,359.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 76.81) สินค้าเกษตรกรรม 5,578.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.66) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 4,310.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.46) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 3,502.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.07)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าเกษตรกรรมและสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.45 และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรกรรมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.35 สำหรับการส่งออกในหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิงและสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าลดลงร้อยละ 13.15 และ 1.81 ตามลำดับ

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 8,660.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.52 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบมีมูลค่าการส่งออก 7,644.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.23) เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,772.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.01) เม็ดพลาสติก 2,404.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.42) เคมีภัณฑ์ 2,205.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.97) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 2,196.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.95) ผลิตภัณฑ์ยาง 2,062.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.65) สิ่งทอ 1,901.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.29) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,811.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.08) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,318.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 2.97) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 35,976.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 81.10 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นมีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็น ร้อยละ 67.27 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ยกเว้นการส่งออกไปยังจีนและญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2 โดยมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.29 และ 1.02 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.44 การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.47

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 22,424.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 37.68) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 16,322.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 27.43) สินค้าเชื้อเพลิง 12,328.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 20.72) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,523.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.28) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 2,853.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.79) และสินค้าอาวุธ และการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.10 ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 54.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.09) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 42.34 การนำเข้าสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 19.60 และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.03 สำหรับการนำเข้าในหมวดสินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภคมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 0.91 0.32 และ 0.22 ตามลำดับ

แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 47.70 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.43 โดยเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญเพียงแหล่งเดียวที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับการนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 9.13 การนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.11 และมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศอาเซียนไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีมูลค่ารวม 77,595.8 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 50,516.9 ล้านบาท สำหรับเดือนสิงหาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 27,078.9 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 17,433.9 ล้านบาท และในเดือนสิงหาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 16,436.1 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 23.00 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 การลงทุนในกิจกรรมการผลิตหรือสาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 33,870.0 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 14,343.5 ล้านบาท รองลงมาคือ การผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 7,408.2 ล้านบาท การผลิตเคมีภัณฑ์มีเงินลงทุนสุทธิ 4,708.4 ล้านบาท และการผลิตยางและพลาสติกเป็นมูลค่าสุทธิ 3,640.6 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2557 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 27,302.0 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสิงคโปร์โดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 17,909.7 ล้านบาท และ 17,237.7 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 453 โครงการ ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 483 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 243,200 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนใน

ไตรมาสที่ 3 ปี 2557 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 138 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 75,600 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 119 โครงการ เป็นเงินลงทุน 58,500 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 196 โครงการ เป็นเงินลงทุน 109,100 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2557 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนที่มีเงินลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 90,200 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเงินลงทุน 62,300 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรม และผลิตผลการเกษตรมีเงินลงทุน 31,800 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด โดยได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 103 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 30,624 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 8 โครงการ มีเงินลงทุน 12,971 ล้านบาท ประเทศสิงคโปร์มีจำนวน 20 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 7,743 ล้านบาท และประเทศฮ่องกงมีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 6 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 3,210 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ