สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยแนวทางดำเนินการแก้ปัญหาวิกฤตราคายางพาราตกต่ำและพัฒนาอนาคตอุตสาหกรรมระยะยาวของยางพาราไทยที่จะพัฒนาให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยกำหนดมาตรการส่งเสริม 3 ด้านหลัก ได้แก่ การแก้ปัญหาวัตถุดิบล้นตลาด การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม สร้างกลไกผลักดันราคายางในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมยางพาราของไทยเติบโตขึ้นได้ อย่างยั่งยืน และยังเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานยางพาราในตลาด และสามารถทำให้ราคายางลดความผันผวนและมีเสถียรภาพมากขึ้น
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ตามที่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายในประเทศยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร เนื่องจากมีประสิทธิภาพการผลิตต่ำ และยังมีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย รวมไปถึงการมีอุปทานส่วนเกิน และการนำยางไปแปรรูปในสัดส่วนที่น้อย ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ได้มีบทบาทในการดำเนินการภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบในส่วนของการสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมยางขั้นปลายน้ำ โดยได้กำหนดมาตรการ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม สร้างกลไกผลักดันราคายางในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมยางพาราของไทยเติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืน
โดยมาตรการในการดำเนินการแก้ปัญหา 3 ด้านหลัก การแก้ปัญหาวัตถุดิบล้นตลาด การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ คือ 1. การแก้ปัญหาวัตถุดิบล้นตลาด จัดทำโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท จากในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 – เมษายน 2558 เป็นช่วงที่ผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดมาก จึงอาจส่งผลกระทบให้ราคายางลดต่ำลง ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลาง โดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ แปรรูปน้ำยางข้นใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อยางส่วนเกินออกจากระบบ ในช่วงต้นฤดูที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้จะชำระดอกเบี้ยเท่ากับอัตรา 2 % โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3 % ซึ่งการใช้เงินลงทุน 10,000 ล้านบาท ตามโครงการฯ คาดว่าจะทำให้สามารถดูดซับปริมาณยางที่จะเข้าสู่ระบบ ได้ประมาณ 200,000 ตัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางเพิ่มขึ้นทันที ประมาณ 2-3 บาท/กิโลกรัม และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายคือ 66 บาท/กิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
2. การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยมี การส่งเสริมให้มีการเพิ่มใช้ยางพาราในประเทศ ซึ่งเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง โดยการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ คือ กระทรวงอุตสาหกรรมและธนาคารออมสิน โดยธนาคารออมสินจะพิจารณาความคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ประกอบการแต่ละราย และจะส่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม พิจารณาและรับรองความเหมาะสมของเครื่องจักรที่ใช้ในโครงการนี้ เพื่อประกอบการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารออมสิน ซึ่งจะช่วยให้ดูดซับยางพารางได้ 300,000 ตัน
3. การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ คือ การส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาง ตามที่ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ยางของไทยยังขาดมาตรฐานในการทดสอบผลิตภัณฑ์ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งในปัจจุบันประเทศที่มีอำนาจต่อรองสูง ได้ใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีต่างๆ เป็นเงื่อนไขในการกีดกันทางการค้า เช่น กำหนดเงื่อนไขด้านมาตรฐานสินค้า มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล รวมถึงต้องมีการสนับสนุนให้มีการเร่งกำหนดมาตรฐานและทดสอบผลิตภัณฑ์ และมีการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการผลิต เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยางให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยาง คือ ส่งเสริมการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมแปรรูปขั้นต้น กลางน้ำ ปลายน้ำ และเร่งผลักดัน การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพารา ภายใต้แนวคิดโครงการเมืองยาง (Rubber City) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพาราในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับผิดชอบดำเนินการจัดตั้งและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางพารา ในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา พื้นที่ประมาณ 1,197 ไร่ โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบนิคมอุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งระยะเวลาในการดำเนินการศึกษาฯ จะเสร็จประมาณเดือนพฤษภาคม 2558
และการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา มีการดำเนินการสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานวิจัย โดยการดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพาราภายใต้เครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานวิจัย มาตั้งแต่ปี 2556-2557 โดยเครือข่ายฯ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัย และหน่วยงานให้ทุนวิจัย เพื่อให้เกิดงานวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางจะส่งผลให้เกิดการสร้างสรรค์งานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของตลาดและนำไป ใช้ได้ในเชิงพาณิชย์ โดยในปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายซึ่งประกอบด้วย ผู้ประกอบการ นักวิจัย สถาบันการศึกษา ประมาณ 173 ราย
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการโครงการต่างๆ ภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพารา
ในประเทศอย่างครบวงจร เป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เพิ่มการใช้ยางเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานยางพาราในตลาด ทำให้ราคายางลดความผันผวนและมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ดังกล่าว จะทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศประมาณ 500,000 ตัน และเพิ่มผลิตภาพของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ถุงมือยาง ยางล้อ ยางยืด อีกด้วย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--