ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ขยายตัวร้อยละ 0.7 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 ที่หดตัวร้อยละ 0.7 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ที่หดตัวร้อยละ 2.9 โดยเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และเม็ดพลาสติกที่การผลิตขยายตัวดีตามการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมเบาเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น และการผลิตเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นตามความต้องการจากตลาดต่างประเทศ อุตสาหกรรมวัตถุดิบเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์กระดาษที่ขยายตัวตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการของต่างประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสรุปภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ขยายตัวร้อยละ 0.7 ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2556 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.9 และเศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 - 4.5
สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 พบว่าบางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เช่นดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลงร้อยละ 0.4 (ม.ค.-ธ.ค.57) เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น
ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 166.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (166.8) ร้อยละ 0.2 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (170.5) ร้อยละ 2.4
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์กระเบื้องต่างๆ ในบ้านเรือน เสื้อผ้าสำเร็จรูป โทรทัศน์สี เป็นต้น
ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ในปี 2557 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 167.7 ลดลงจากปี 2556 ร้อยละ 4.6 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม Hard Disk Drive เครื่องประดับเพชรพลอย อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น ดัชนีการส่งสินค้า
ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 181.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (180.6) ร้อยละ 0.7 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (186.4) ร้อยละ 2.5
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ ยานยนต์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆเป็นต้น
ในปี 2557 ดัชนีการส่งสินค้ามีค่า 181.4 ลดลงจากปี 2556 ร้อยละ 7.5 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าลดลงได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม Hard Disk Drive เครื่องประดับเพชรพลอย อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 185.0 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (194.9) ร้อยละ 5.0 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (206.1) ร้อยละ 10.2
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง น้ำตาล เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เบียร์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ เป็นต้น
ในปี 2557 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังมีค่า 197.4 ลดลงจากปี 2556 ร้อยละ 1.5 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงได้แก่ ยานยนต์ เบียร์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง แปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ เป็นต้น ผลไม้และผัก
อัตราการใช้กำลังการผลิต
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 60.1 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 60.5) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (ร้อยละ 62.2)
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Hard Disk Drive โทรทัศน์สี ผลิตภัณฑ์เหล็ก ผลิตภัณฑ์จากคอนกรีต ซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ เป็นต้น
ในปี 2557 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 60.5 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง อาหารสัตว์สำเร็จรูป เป็นต้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 80.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (79.2) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (75.0) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่า ดัชนีในเดือนธันวาคม 2557 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกรายการ เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและทำให้มีเงินเหลือมากขึ้นนอกจากนี้ มาตรการลดราคาสินค้าร้อยละ 20-70 สร้างจิตวิทยาในเชิงบวกให้กับผู้บริโภคในการกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพาราที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่าตลอดจนการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ทำให้กำลังซื้อโดยรวมทั่วประเทศยังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนีพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่า 69.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (69.3) แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดีเนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่า 73.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสผ่านมา (72.7) แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนักซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ
ดัชนีความเชื่อมั่นในผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่า 97.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (95.5) แต่อยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในรายได้ในอนาคตของตนแต่ระดับความมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสหางานทา
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 48.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (49.2) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (46.4) โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจไม่ดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ไม่ดีสำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา คือ ผลประกอบการของบริษัท การลงทุนของบริษัท และการผลิตของบริษัท
ในปี 2557 ดัชนีโดยรวมมีค่า 48.0 ลดลงจากปี 2556 ที่มีค่า 49.3 โดยดัชนีที่ปรับตัวลดลงคือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)
จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 89.96 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (88.2) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (90.5) การที่ค่าดัชนียังอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดีอย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นเป็นรายเดือน จะเห็นว่าดัชนีในเดือนธันวาคม 2557 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 92.7 จากเดือนพฤศจิกายน 2557 (89.7) เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 โดยค่าดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการซึ่งจากปัจจัยยอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเทศกาลปีใหม่ ในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับการจัดงานมอร์เตอร์เอ็กซ์โป 2014 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2557 ส่งผลดีต่อยอดขายในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์รวมทั้งราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งลดลงด้วยอย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่หดตัว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก และการที่สินค้าไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) จากสหภาพยุโรปทั้งนี้ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ขอให้เร่งพัฒนาระบบขนส่งและการคมนาคมให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เร่งเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเพิ่อเพิ่มการค้าการลงทุน ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ให้กว้างขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลักที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจ
ในปี 2557 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 87.4 ลดลงจากปี 2556 ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 92.6
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic lndex : LEl) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้าปรากฏว่าดัชนีชี้นาเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 150.5 ขยายตัวร้อยละ 1.3 จากเดือนพฤศจิกายน 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 148.5 โดยเครื่องชี้ที่ขยายตัว ได้แก่ เงินทุนจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ณ ราคาคงที่ ดัชนีส่วนกลับราคาน้ำมัน (โอมาน)
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 148.9 ขยายตัวร้อยละ 2.6 จากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 145.1
ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ
ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic lndex : CEl) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 126.0 หดตัวร้อยละ 0.7 จากเดือนพฤศจิกายน 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 126.8 ตามการหดตัวของเครื่องชี้ทุกองค์ประกอบ ดังนี้ การนำเข้า ณ ราคาคงที่ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ และเงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ณ ราคาคงที่
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่าเฉลี่ย 126.6 หดตัวร้อยละ 0.5 จากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 127.2
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค
ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่า 146.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (146.8) และทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (146.7) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา มีแค่องค์ประกอบเดียว คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าในทุกกิจการ
ปี 2557 ที่ผ่านมา การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมลดลงจากปี 2556 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง คือ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และดัชนีมูลค่าการค้าปลีกทั่วประเทศ
การลงทุนภาคเอกชน
การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 233.4 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (227.8) และปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (233.3)
หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 แต่ลดลงไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา
การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่าน และไตรมาสเดียวกันของปี 2556 มา
ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ (ณ ขณะจัดทารายงานฉบับนี้ข้อมูลล่าสุดมีถึงเดือนพฤศจิกายน 2557 เท่านั้น) โดยเดือนพฤศจิกายน 2557 ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ มีจำนวน 75,601.37 ล้านบาท
ปี 2557 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมปรับตัวลงลงจากปี 2556 ตามการลดลงของปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่
ภาวะราคาสินค้า
จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 107.1 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (107.6) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (105.9) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการลดลงของราคาเนื้อสัตว์ ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งกลุ่มอาหารสดและพลังงาน
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 มีค่าเท่ากับ 104.8 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (106.5) และไตรมาสเดียวกันของปี 2556 (107.1) โดยราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2556 ส่วนราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงในไตรมาสเดียวกันของปี 2556
แรงงานในภาคอุตสาหกรรม
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สี่ของปี 2557 (ข้อมูลเดือนธันวาคม) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.963 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.664 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 99.23 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.219 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.56)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สี่ของปี 2557 มีจำนวน 6.625 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 17.13 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
การค้าต่างประเทศ
มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 กลับมาหดตัวลงอีกครั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหลังจากที่มีมูลค่าการค้าขยายตัวต่อเนื่องกันมา 2 ไตรมาส และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการค้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากมูลค่าการนำเข้าที่ลดลงเป็นส่วนสำคัญ สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 4 นี้ เกินดุลการค้าเป็นมูลค่า 1,754.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 การส่งออกกลับมาขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการนำเข้ายังคงมีมูลค่าลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 4 การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 113,500.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 57,521.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 55,979.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 นั้นมูลค่าการส่งออกลดลงเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 0.40 และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 5.93 สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 4 นี้ กลับมาเกินดุลการค้าอีกครั้ง โดยมีมูลค่า 1,542.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.65 สำหรับมูลค่าการนำเข้านั้นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.64
การส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่าการส่งออกในเดือนตุลาคมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกของเดือนตุลาคมมีมูลค่า 20,163.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.97 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนการส่งออกกลับมาลดลงร้อยละ 1.00 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 18,567.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯลดลงร้อยละ 7.40 สำหรับการส่งออกในเดือนธันวาคมกลับมาขยายตัวอีกครั้งร้อยละ 1.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 18,790.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 44,435.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 77.25) ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่มีการส่งออกมากที่สุด รองลงมาคือสินค้าเกษตรกรรม 5,806.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.10) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 4,322.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.51) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 2,956.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.14)
เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.84 และสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.87 สำหรับการส่งออกในหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิงและสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าลดลงร้อยละ 25.02 และ 7.86 ตามลำดับ โดยเป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรและเชื้อเพลิง ในตลาดโลกปรับลดลง
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 8,699.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.58 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบมีมูลค่าการส่งออก 7,672.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 17.27) เครื่องใช้ไฟฟ้า 6,004.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.51) เม็ดพลาสติก 2,380.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.36) อัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 2,327.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.24) เคมีภัณฑ์ 2,017.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.54) ผลิตภัณฑ์ยาง 1,970.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.43) สิ่งทอ 1,839.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.14) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,816.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.09) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 1,357.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
(คิดเป็นร้อยละ 3.05) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 36,084.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 81.21 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด
ตลาดส่งออก
การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นมีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็น ร้อยละ 68.21 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ยกเว้นการส่งออกไปยังจีนและญี่ปุ่นที่ยังคงมีมูลค่าการส่งออกลดลง โดยมีมูลค่าลดลงร้อยละ 15.28 และ 0.64 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.25 การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.22 และการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.72
โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 21,276.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 38.01) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 15,045.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 26.88) สินค้าเชื้อเพลิง 10,277.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 18.36) สินค้าอุปโภคบริโภค 6,364.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 11.37) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 2,937.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 5.25) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 77.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.14) ตามลำดับ
โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าหมวดสินค้าหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง โดยการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 40.45 การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง มีมูลค่าลดลงร้อยละ 22.75 การนำเข้าสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 9.54 และการนำเข้าสินค้าทุนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 4.23 สำหรับการนำเข้าสินค้าใน หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.10 และ 1.09 ตามลำดับ
แหล่งนำเข้า
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 50.21 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทสในอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.32 และ 8.01 ตามลำดับ สำหรับการนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 15.77 และการนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.36
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนมีมูลค่ารวม 46,421.1 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนตุลาคมมีมูลค่า 42,168.8 ล้านบาท สำหรับเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 4,252.3 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 7,304.6 ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 8,111.5 ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ 54.40 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยางและพลาสติกซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 2,783.6 ล้านบาท รองลงมาคือ การผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วงซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 2,187.9 ล้านบาท การผลิตอาหารมีเงินลงทุนสุทธิ 1,853.7 ล้านบาท และการผลิตเครื่องจักร และเครื่องมือซึ่งมิได้ จัดประเภทไว้ในที่อื่นเป็นมูลค่าสุทธิ 1,132.0 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2557 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 21,747.4 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์โดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 10,665.5 ล้านบาท และ 3,601.8 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 465 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 423 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 4 นี้การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 300,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนใน ไตรมาสที่ 4 ปี 2557 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 169 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 133,900 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 105 โครงการ เป็นเงินลงทุน 86,600 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 191 โครงการ เป็นเงินลงทุน 80,300 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนในไตรมาสที่ 4 ปี 2557 พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนที่มีเงินลงทุนมากที่สุด คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 156,900 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 73,200 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรม และผลิตผลการเกษตรมีเงินลงทุน 21,000 ล้านบาท
สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 พบว่านักลงทุนจากประเทศหลักที่มีมูลค่าการลงทุนมากที่สุด คือประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 113 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 72,451 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 17 โครงการ มีเงินลงทุน 34,007 ล้านบาท ประเทศจีนมีจำนวน 12 โครงการที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมีเงินลงทุน 16,372 ล้านบาท และประเทศฝรั่งเศสมีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 5 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 10,506 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--