รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนเมษายน 2558

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday June 18, 2015 15:45 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2558 ลดลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกเป็นหลัก อาทิ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ โทรทัศน์ และเครื่องประดับ อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.81 อาทิ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เบียร์

อุตสาหกรรมเครื่องประดับ ภาวะการผลิตลดลงร้อยละ 20.61 เนื่องจากหลายประเทศยังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเครื่องประดับถูกกระทบจากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาด EU

อุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ภาวะการผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในการเดินทางขนส่งในประเทศที่เพิ่มขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับทรงตัวและเป็นระดับที่ต่ำกว่าปีก่อน

อุตสาหกรรมเบียร์ ภาวะการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.90 เนื่องจากปีก่อนอุตสาหกรรมถูกกระทบจากปัญหาทางการเมือง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ แต่ในปีนี้สถานการณ์การเมืองและการบริโภคกลับสู่ภาวะปกติ

การเปิดปิดโรงงาน เดือนเมษายน 2558 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 349 ราย ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ร้อยละ 2.2 แต่ยอดเงินลงทุนรวมและจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 211.7 และ 27.5 ตามลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม มีจำนวน 1 โรง จำนวนเงินทุน 32,577.35 ล้านบาท และจำนวนคนงาน 112 คน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2557 ร้อยละ 7.7 สำหรับโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมีจำนวน 88 ราย น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2558 ร้อยละ 34.81 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าร้อยละ 6.0 แต่ยอดเงินลงทุนรวมและจำนวนการจ้างงานน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 52.6 และ 28.9 ตามลำดับ

การขอรับการส่งเสริมการลงทุน เดือนมกราคม - เมษายน 2558 มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งสิ้น 237 โครงการ เงินลงทุน 37,620 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 34.17 และ 85.52 ตามลำดับ โดยประเภทกิจการที่ขอรับการส่งเสริมมากที่สุด คือ หมวดบริการ และ สาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนคิดเป็นร้อยละ 71.16

การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนเมษายน 2558 การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องมือกล มีมูลค่า 1,110.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องมือกลที่ยังคงหดตัวสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 33.7 อย่างไรก็ตามการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 0.8

ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป(ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 6,204.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 2.9 จากการนำเข้าเคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ด้ายและเส้นใย รวมถึงผ้าผืน ที่ลดลง

การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ในเดือนเมษายน 2558 มีปริมาณทั้งหมดจำนวน 9,427.7 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 9.3 จากเดือนมีนาคม 2558 (10,391.1 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากช่วงเดียวกันของปี 2557 (9,303.9 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง) หากแยกการใช้ไฟฟ้าตามขนาดของกิจการ พบว่า ทุกกิจการ (ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่) มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2557

การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ติดลบหรือหดตัวร้อยละ 5.3 อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้การผลิตลดลง คือ Hard Disk Drive โทรทัศน์ เครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศเกาหลีใต้หดตัวร้อยละ 2.7

อย่างไรก็ตามการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศไต้หวันขยายตัวร้อยละ 1.1

สำหรับข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประจำเดือนเมษายน 2558 ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่ยังมีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนมีนาคม 2558 การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ขยายตัวร้อยละ 6.3 และ 6.7 ตามลำดับ

สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2558

ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2558 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 349 ราย ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 357 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 2.2 มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 68,239 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการลงทุน 21,894 ล้านบาท ร้อยละ 211.7 และมีการจ้างงานจำนวน 12,803 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 10,039 คน ร้อยละ 27.5

ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการมากกว่าเดือนเมษายน 2557 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 324 ราย หรือคิดเป็นจำนวนมากว่าร้อยละ 7.7 มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2557 ซึ่งมีการลงทุน 44,942 ล้านบาท ร้อยละ 51.8 และมีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2557 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,811 คน ร้อยละ 45.3

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนเมษายน 2558 คือ อุตสาหกรรมซ่อมรถยนต์ เคาะพ่นสีรถยนต์ จำนวน 36 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมขุดตักดินลูกรัง สำหรับใช้ในการก่อสร้าง จำนวน 29 โรงงาน
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนเมษายน 2558 คือ อุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม จำนวนเงินทุน 32,577.35 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ จำนวนเงินทุน 12,835.00 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนเมษายน 2558 คือ อุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ยาง จำนวนคนงาน 6,062 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรม ซ่อมรถยนต์ เคาะพ่นสีรถยนต์ จำนวนคนงาน 548 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2558 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 88 ราย น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 135 ราย คิดเป็นร้อยละ 34.81 มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม 761 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2558 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 1,432 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงาน จำนวน 2,399 คน น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการเลิกจ้างงานจำนวน 3,969 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนเมษายน 2557 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 83 ราย คิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 6.0 แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนเมษายน 2557 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 1,606.2 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างน้อยกว่าเดือนเมษายน 2557 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 3,373 คน

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนเมษายน 2558 คือ อุตสาหกรรม ซ่อมรถยนต์ เคาะพ่นสีรถยนต์ จำนวน 21 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมขุดตักดินลูกรัง สำหรับใช้ในการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมกลึง เจาะ คว้าน กัด ไส เจียน เชื่อมโลหะทั่วไปทั้งสองอุตสาหกรรม จำนวน 4 โรงงานเท่ากัน
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนเมษายน 2558 คือ อุตสาหกรรม กลึง เจาะ คว้าน กัด ไส เจียน เชื่อมโลหะทั่วไป เงินทุน 63.44 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำ ดัดแปลง ซ่อมแบบหรือเครื่องจับสำหรับใช้กับเครื่องมือกล และอุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์ ทั้งสองอุตสาหกรรม เงินทุน 61 ล้านบาทเท่ากัน
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนเมษายน 2558 คือ อุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์ จำนวนคนงาน 440 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำเครื่องเรือนจากไม้ ยาง อโลหะอื่น ซึ่งมิได้ทำจากพลาสติกอัดเข้ารูป จำนวนคนงาน 332 คน

ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมกราคม - เมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 237 โครงการ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 360 โครงการ ร้อยละ 34.17 และมีเงินลงทุน 37,620 ล้านบาท น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเงินลงทุน 259,810 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 85.52

  • การกระจายหุ้นของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมในเดือนมกราคม - เมษายน 2558
การร่วมทุน                     จำนวน         มูลค่าเงินลงทุน
                           (โครงการ)        (ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100%           122            29,230
2.โครงการต่างชาติ 100%           84             5,970
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ     31             2,420
  • ประเภทกิจการที่ขอรับการส่งเสริมมากที่สุดในเดือนมกราคม - เมษายน 2558 คือ หมวดบริการ และ สาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 26,770 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 3,840 ล้านบาท
1.อุตสาหกรรมอาหาร

ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากคำสั่งซื้อชะลอตัวหลังเทศกาล การส่งออกปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน จากการเริ่มฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจประเทศผู้นำเข้า ส่วนการจำหน่ายในประเทศปรับชะลอตัวจากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ลดลง

1. การผลิต

ภาวะการผลิตกลุ่มสินค้าอาหารสำคัญ (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนเมษายน 2558 ปรับตัวลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.1 แบ่งเป็น

กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออก หากเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าที่ปรับตัวลดลง เช่น สับปะรดกระป๋อง มีปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 2.4 เนื่องจากวัตถุดิบลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดภายในประเทศ แบ่งเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น น้ำมันปาล์ม มีการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.5 เนื่องจากปริมาณน้ำมันในตลาดมีมาก ส่วนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า คือ น้ำมันถั่วเหลือง มีปริมาณการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.3 สำหรับอาหารไก่ การผลิตปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน 3.7

2. การตลาด

1) ตลาดในประเทศ เดือนเมษายน 2558 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารและเกษตรในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.6 จากความเขื่อมั่นในเศรษฐกิจที่ลดลง และจากกำลังซื้อที่ลดลงตามภาระหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายลดลง

2) ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนเมษายน 2558 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.6 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าไก่และผักผลไม้ ส่วนมูลค่าการส่งออกน้ำตาลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 16.0 จากปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

3. แนวโน้ม

การผลิตและการส่งออก คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากการผลิตและส่งออกตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นได้เพียงเล็กน้อยจากผู้บริโภคที่ยังขาดความเชื่อมั่นที่จะใช้จ่ายจากการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน

2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

กลุ่มสิ่งทอมีการจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน เครื่องนอนและผ้าขนหนู และผ้าลูกไม้ ส่วนกลุ่มเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชั้นในสตรีและเด็กหญิงและเสื้อชุดกีฬา

1. การผลิต

ผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯผ้าขนหนูและเครื่องนอน และผ้าลูกไม้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 1.1และ 15.4 ตามลำดับ เนื่องจากการบริโภคในประเทศขยายตัว ส่วนผ้าผืน ลดลง ร้อยละ 12.2 เนื่องจากคำสั่งซื้อของตลาดอาเซียนลดลง โดยเฉพาะจากประเทศเมียนมาร์ และกัมพูชา

ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องนุ่งห่มเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตเสื้อผ้าถักและเสื้อผ้าทอลดลง ร้อยละ6.7และ1.1 ตามลำดับ เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าในตลาดสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและ ญี่ปุ่น ลดลงประกอบกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ เพื่อใช้สิทธิ GSP และฐานค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า

2. การจำหน่าย

ปริมาณการจำหน่ายในประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มสิ่งทอ มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน เครื่องนอนและผ้าขนหนู และผ้าลูกไม้ ส่วนกลุ่มเครื่องนุ่งห่มมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนเสื้อผ้าถัก และเสื้อผ้าทอ โดยเฉพาะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชั้นในสตรีและเด็กหญิงและเสื้อชุดกีฬา มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการส่งเสริมการตลาดจากผู้ผลิต

การส่งออกเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มลดลงร้อยละ 4.5แบ่งเป็นกลุ่ม สิ่งทอร้อยละ 4.8ในผลิตภัณฑ์ผ้าผืน และด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ลดลง ร้อยละ 4.7 และ 9.4 ตามลำดับ และกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม ร้อยละ 4.1 ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากฝ้ายวัตถุทออื่น ๆ และเสื้อผ้าเด็กอ่อน ลดลง ร้อยละ 4.85.5 และ 22.2 ตามลำดับอย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากใยประดิษฐ์และไหมมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ11.9 และ 1.1 ตามลำดับ จากการส่งออกไปในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.6

3. แนวโน้ม

คาดว่าการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในภาพรวมจะ ขยายตัวทั้งกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มตามฤดูกาลผลิต ในส่วนการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะขยายตัว โดยเฉพาะเสื้อผ้านักเรียน เนื่องจากเปิดภาคการศึกษาใหม่ อีกทั้งการส่งเสริมยอดขายที่มีการกระตุ้นตลาดของแบรนด์เสื้อผ้าต่าง ๆ ในห้างสรรพสินค้า สำหรับการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา และการถูกตัดสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป ตั้งแต่ 1 ม.ค. 58เป็นต้นมา

3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

ประเทศจีนได้ประกาศแนวทางพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกับประเทศต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการส่งออกของจีน และเป็นการช่วยลดกำลังการผลิตส่วนเกินในประเทศด้วย นอกจากนี้จีนได้มีความตกลงกับประเทศคาซัคสถานในการย้ายการผลิตเหล็กบางส่วนจากจีนไปยังคาซัคสถาน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเซ็นต์สัญญาร่วมทุนสร้างโรงงานเหล็กในคาซัคสถานระหว่าง บ. Ma'anshan Iron & Steel (Magang) , บ. China Metallurgical Group Corporation (MCC) และบริษัทเหล็กคาซัคสถาน โดยมีการปิดโรงงาน บ. Ma'anshan Iron & Steel (Magang) , บ. China Metallurgical Group Corporation (MCC) ที่ประเทศจีน

1. การผลิต

สถานการณ์การผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนเมษายน 2558 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 108.30 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลง ร้อยละ 8.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุดังนี้

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 11.10 โดยเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน ลดลง ร้อยละ 20.92 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ลดลง ร้อยละ 18.01 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงทรงตัวอยู่ โดยอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ก่อสร้างและรถยนต์ มีการผลิตที่ชะลอตัว นอกจากนี้ จากการที่อุตสาหกรรมเหล็กโลกเกิดการผลิตส่วนเกิน จึงทำให้มีการส่งสินค้าสำเร็จรูป เช่น ท่อเหล็ก นั่งร้าน เข้ามายังไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเหล็กแผ่นในประเทศ และจากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า ความต้องการใช้ในประเทศของเหล็กทรงแบน ลดลง ร้อยละ 12.7 ปริมาณการนำเข้าโดยรวม ลดลง ร้อยละ 13.9 (การนำเข้ามีปริมาณ 656,072 ตัน) โดยผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณการนำเข้าลดลงมาก คือ เหล็กแผ่นบาง stainless steel ลดลง ร้อยละ 75.8 และเหล็กแผ่นหนา alloy steel ลดลง ร้อยละ 65.9 สำหรับการส่งออก ลดลง ร้อยละ 20.1 (การส่งออก มีปริมาณ 25,019 ตัน) โดยผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณการส่งออก ลดลง มากที่สุด คือ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี (EG) ลดลง ร้อยละ 83.8

ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวมีการผลิตลดลง ร้อยละ 4.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลวดเหล็ก มีการผลิตลดลง ร้อยละ 23.30 และเหล็กลวด ลดลง ร้อยละ 15.40 และจากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า ความต้องการใช้ในประเทศของเหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการนำเข้า ลดลง ร้อยละ 16.7 (ปริมาณการนำเข้า 224,108 ตัน) ผลิตภัณฑ์ที่มีการนำเข้าลดลง มากที่สุด คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ลดลง ร้อยละ 70.8 ท่อเหล็กไร้ตะเข็บ ลดลง ร้อยละ 34.1 สำหรับการส่งออก ลดลง ร้อยละ 28.8 (ปริมาณการส่งออก 87,886 ตัน) โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งออกลดลง มากที่สุด ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิด stainless steel ลดลง ร้อยละ 92.8 รองลงมาคือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิด alloy steel ลดลง ร้อยละ 49.7

2. ราคาเหล็ก

จากข้อมูลดัชนีราคาเหล็กต่างประเทศของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในเดือนเมษายน 2558 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กมีการปรับตัวลดลงทุกชนิด เช่น เหล็กแท่งแบน ลดลงจาก 118.6 เป็น 75.34 ลดลง ร้อยละ 36.48 เหล็กแผ่นรีดร้อน ลดลงจาก 109.33 เป็น 77.94 ลดลง ร้อยละ 28.71 เหล็กแท่งเล็ก Billet ลดลงจาก 117.41 เป็น 86.35 ลดลง ร้อยละ 26.45 เหล็กเส้น ลดลงจาก 110.21 เป็น 82.97 ลดลง ร้อยละ 24.72 และ เหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลงจาก 112.71 เป็น 85.98 ลดลง ร้อยละ 23.72 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจประกอบกับผู้ผลิตสินแร่เหล็กรายใหญ่ของโลกยังไม่ลดการผลิตในขณะที่ความต้องการใช้เหล็กโลกยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงด้วย

3. แนวโน้ม

สถานการณ์การผลิตเหล็กของไทยในเดือนพฤษภาคม 2558 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าการผลิตเหล็กโดยรวมจะทรงตัว โดยเหล็กทรงยาว คาดการณ์ว่าการผลิตจะทรงตัว โดยการก่อสร้างที่มีอยู่จะเป็นในส่วนของการก่อสร้างภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อเท่านั้น เหล็กทรงแบน คาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง ตามสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มการผลิตลดลงเนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก (สหภาพยุโรป) ที่ยังไม่ฟื้นตัว

4. อุตสาหกรรมยานยนต์

รถยนต์

อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนเมษายน 2558 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557ซึ่งเป็นการชะลอตัวของตลาดในประเทศ อย่างไรก็ดี การส่งออกยังคงมีการขยายตัว

1.การผลิตรถยนต์

จำนวน123,968 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2557ซึ่งมีการผลิต 126,730 คัน ร้อยละ 2.18 โดยเป็นการปรับลดลงของการผลิตรถยนต์กระบะ 1 ตัน

2.การจำหน่ายรถยนต์

จำนวน 54,058 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2557ซึ่งมีการจำหน่าย 73,260 คัน ร้อยละ 26.21 โดยเป็นการปรับลดลงของการจำหน่ายรถยนต์นั่งรถยนต์กระบะ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถยนต์ PPV รวมกับ SUVสาเหตุเนื่องจากมีผู้ประกอบการบางรายอยู่ระหว่างการปรับรุ่นรถยนต์ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนหนึ่งมีรายได้ลดลง

3.การส่งออกรถยนต์

จำนวน 82,130 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2557ซึ่งมีการส่งออก 69,804คัน ร้อยละ 17.66แบ่งเป็นการส่งออกรถยนต์นั่งร้อยละ 42 และรถกระบะ 1 ตันและ PPV ร้อยละ 58 สำหรับการส่งออกรถยนต์นั่งมีการส่งออกเพิ่มขึ้นในประเทศแถบโอเชียเนีย และยุโรปส่วนการส่งออกรถกระบะ 1 ตันและ PPV มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในประเทศแถบเอเชีย โอเชียเนียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

4.แนวโน้ม

ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม 2558 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2557 สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม 2558 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 39 และส่งออกร้อยละ 61

รถจักรยานยนต์

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2558 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557โดยเป็นการลดลงของปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศ

1.การผลิตรถจักรยานยนต์

จำนวน 133,134 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2557 ซึ่งมีการผลิต149,616คัน ร้อยละ 11.02โดยเป็นการปรับลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว

2.การจำหน่ายรถจักรยานยนต์

จำนวน 106,314 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2557 ซึ่งมีการจำหน่าย 131,147คัน ร้อยละ 18.94โดยเป็นการปรับลดลงของการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสกูตเตอร์

3.การส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU)

จำนวน 29,917คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2557ซึ่งมีการส่งออก 24,577 คัน ร้อยละ21.73โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์

4.แนวโน้ม

ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม 2558 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2557 สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม 2558 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 80 และส่งออกร้อยละ 20

5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
"ในภาพรวมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังขยายตัวได้ โดยมีมูลค่าการส่งออกสูงขึ้น ซึ่งส่วนมากเป็นการส่งออกไปยังเมียนมาร์ กัมพูชา และลาว โดยคิดเป็นร้อยละ 75 ของการส่งออกปูนซีเมนต์ทั้งหมดของไทย ในขณะที่ภาพรวมของการผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว เนื่องจากภาคก่อสร้างของไทยยังไม่ขยายตัวมากนัก"
1. การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ

ในเดือนเมษายน2558เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศลดลงร้อยละ 2.73และร้อยละ 0.56 ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาในภาพรวม อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวได้ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณการผลิตลดลงเล็กน้อย โดยปริมาณการจำหน่ายในประเทศที่อยู่ในระดับทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแสดงให้เห็นว่าภาคก่อสร้างของไทยยังคงมีการขยายตัวซึ่งเป็นสัญญานที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เนื่องจากการจำหน่ายในประเทศจะได้ราคาดีกว่าการส่งออก

2. การส่งออก

มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนเมษายน 2558 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.54

เมื่อพิจารณาในภาพรวมการส่งออกยังคงขยายตัวได้ถึงแม้ว่าจะปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน แต่หากดูกราฟเปรียบเทียบในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ามูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ของไทยในเดือนนี้เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดโดยยอดการสั่งซื้อส่วนมากยังคงมาจากเมียนมาร์ กัมพูชา และลาว ซึ่งกำลังเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิด AEC ในปลายปี 2558 นี้

3. แนวโน้ม

การผลิตและจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล เนื่องจากช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นช่วงเร่งการก่อสร้างหลังจากที่มีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐบาล ทำให้มีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศสูงขึ้น และส่งผลให้ภาคเอกชนขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมตามบริเวณแนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการขยายตัวของตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ

สำหรับแนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนซึ่งเป็นช่วงเทศกาลที่ไทยมีวันหยุดยาวเนื่องจากเดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นช่วงที่ประเทศคู่ค้าหลักของไทยเร่งก่อสร้างก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝน ส่งผลให้ไทยสามารถขยายการส่งออกปูนซีเมนต์ได้มากขึ้นโดยไม่กระทบกับความต้องการใช้ในประเทศที่คาดว่าจะสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากไทยสามารถผลิตปูนซีเมนต์ได้เกินกว่าความต้องการใช้ในประเทศเป็นปริมาณมากอยู่แล้วสำหรับตลาดส่งออกปูนซีเมนต์ที่สำคัญสุดของไทยยังคงเป็นเมียนมาร์ โดยคิดเป็นร้อยละ 40 ของการส่งออกปูนซีเมนต์ทั้งหมดของไทย

6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนเมษายน 2558 มีการปรับตัวลดลงร้อยละ 19.65 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าลดลงร้อยละ 21.42 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการชะลอตัวของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ลดลงร้อยละ 19.21 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการผลิต HDD ที่ปรับตัวลดลง

เครื่องใช้ไฟฟ้า/             มูลค่า          %YoY
อิเล็กทรอนิกส์         (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
อุปกรณ์ประกอบของ        1,355.45         4.37
เครื่องคอมพิวเตอร์
แผงวงจรไฟฟ้า             609.98        17.34
เครื่องปรับอากาศ           402.83        -2.51
กล้องถ่ายโทรทัศน์ กล้อง      148.38        10.06
ถ่ายบันทึกภาพดิจิทัล
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า        4,375.80         5.15
และอิเล็กทรอนิกส์

1.การผลิต

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนเมษายน 2558 มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 210.59 ลดลงร้อยละ 19.65 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 113.58 ลดลงร้อยละ 21.42 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลง เช่น เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนแฟนคอยล์ยูนิต คอมเพรสเซอร์ ตู้เย็น กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว และเครื่องรับโทรทัศน์ ลดลงร้อยละ 2.84 20.28 5.90 22.37 30.32 และ 87.65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลง จึงส่งผลให้ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย รวมถึงได้รับผลกระทบจากตลาดส่งออกหลักที่ยังไม่ฟื้นตัว (สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น) สำหรับเครื่องรับโทรทัศน์มีผู้ผลิตบางรายย้ายฐาน การผลิตไปประเทศในกลุ่มอาเซียน ยกเว้นเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนคอนเดนซิ่งยูนิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ 265.61 ลดลงร้อยละ 19.21 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ HDD ปรับตัวลดลงร้อยละ 26.25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คในตลาดโลกลดลง แต่มีการพัฒนาเพิ่มความจุสำหรับนำไปใช้ใน Cloud Storage ทำให้ราคาต่อหน่วยสูงขึ้น แต่ปริมาณการผลิตไม่มากเท่าเดิม สำหรับ Other IC และ Semiconductor เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.59 และ 11.77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้ในอุปกรณ์สื่อสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของอุปกรณ์สื่อสาร/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มี ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีความต้องการเพิ่มขึ้น

6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ)

2. การส่งออก

มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนเมษายน 2558 มีมูลค่า 4,375.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.15 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าการส่งออก 1,934.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดอาเซียนและสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.60 และ 16.33 ตามลำดับ ขณะที่ตลาดสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวลดลงร้อยละ 8.87 8.45 และ 0.05 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ มีมูลค่าส่งออก 402.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.51 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นลดลงถึงร้อยละ 29.67 และ 28.95 ตามลำดับ แต่การส่งออกไปอาเซียนและจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.10 และ 0.84 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือ กล้องถ่ายโทรทัศน์ กล้องถ่ายบันทึกภาพดิจิทัล มีมูลค่า 148.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.06 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปสหภาพยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.37 17.67 และ 28.95 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 2,441.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.53 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.18 และ 4.86 ตามลำดับ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด คือ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าส่งออก 1,355.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.37 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและอาเซียนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.04 และ 3.45 ตามลำดับ รองลงมา คือ แผงวงจรไฟฟ้า มีมูลค่าส่งออก 609.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.34 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดหลักส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อาเซียน จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.82 44.14 25.20 และ 23.82 ตามลำดับ ยกเว้นสหภาพยุโรปปรับตัวลดลงร้อยละ 0.25 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

3. แนวโน้ม

ภาพรวมอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนพฤษภาคม 2558 จากแบบจำลองดัชนีชี้นำที่จัดทำโดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ลดลงร้อยละ 7.06 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าคาดว่าจะลดลงร้อยละ 10.76 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศ และการส่งออกไปสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 5.21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการผลิต HDD ลดลงตามความต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีการปรับตัวลดลง

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ