ในส่วนของมูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าปริมาณการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น แต่ราคายางปรับตัวลดลงอย่างมาก จึงทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงตามไปด้วย สำหรับมูลค่าการส่งออกถุงมือยาง/ถุงมือตรวจ ปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการใช้ของตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ชะลอตัวลง และส่วนหนึ่งมาจากการถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preference : GSP) จากสหภาพยุโรป ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญไป
การผลิตยางแปรรูปขั้นต้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปริมาณการผลิตลดลง ร้อยละ 25.00 ถึงแม้ว่าจะมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยางแปรรูปขั้นต้นได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเพิ่มขึ้น 20 ราย ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2558 แต่เนื่องจากในช่วงต้นของไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงฤดูยางผลัดใบ หยุดพักกรีดยาง จึงทำให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปริมาณผลผลิตลดลงร้อยละ 6.25 และสำหรับในช่วงครึ่งปีแรก ปริมาณผลผลิตลดลงร้อยละ 5.26
ในส่วนของการผลิตผลิตภัณฑ์ยางล้อในกลุ่มยางนอกรถยนต์นั่ง/รถกระบะ ยางนอกรถบรรทุก/รถโดยสาร/รถแทรกเตอร์ ยางในรถบรรทุก/รถโดยสาร และยางนอกรถจักรยานยนต์/จักรยาน เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ 4.78 2.30 7.69 และ 3.06 ตามลำดับ โดยปริมาณการผลิตที่ขยายตัวในช่วงต้นปีเริ่มชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.75 6.25 22.45 และ 1.86 ตามลำดับ และในช่วงครึ่งปีแรก ปริมาณการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังคงขยายตัวได้ ทุกผลิตภัณฑ์
สำหรับปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ยางในรถจักรยานยนต์/รถจักรยาน และยางหล่อดอก เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.46 และ 2.92 ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.93 และ 14.33 ตามลำดับ
ในส่วนของถุงมือยาง/ถุงมือตรวจ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.70 และ 5.46 ตามลำดับ และในช่วงครึ่งปีแรกปริมาณการผลิตปรับตัวลดลงเล็กน้อยคิดเป็นร้อยละ 0.86 โดยปริมาณการผลิตถุงมือยาง/ถุงมือตรวจที่ลดลงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากไทยถูกตัด GSP จากสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 ซึ่งถุงมือยาง/ถุงมือตรวจของไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการใช้สิทธิ GSP สูง
การตลาดและการจำหน่าย
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 ปริมาณการจำหน่ายยางแปรรูปขั้นต้นในประเทศ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.50 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนปรับตัวลดลงร้อยละ14.86 และในช่วงครึ่งปีแรกปริมาณการจำหน่ายในประเทศลดลงร้อยละ 17.61
ในส่วนของการจำหน่ายยางนอกรถยนต์นั่ง ยางนอกรถบรรทุก/รถโดยสาร/รถแทรกเตอร์ ยางนอกรถจักรยานยนต์/จักรยาน ยางในรถจักรยานยนต์/จักรยาน ในประเทศ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.08 1.35 2.21 และ 2.26 ตามลำดับ โดยปริมาณการจำหน่ายในประเทศที่ขยายตัวในช่วงต้นปีเริ่มชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.79 10.61 1.41 และ 13.10 ตามลำดับ
การจำหน่ายยางในรถบรรทุก/รถโดยสารในประเทศเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.78 และ 22.22 ตามลำดับ สำหรับยางหล่อดอกมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.01 และ 0.03 ตามลำดับ
สำหรับการจำหน่ายถุงมือยาง/ถุงมือตรวจในประเทศ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.19 และ 60.62 ตามลำดับ และในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.93 เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ และใช้ในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน อีกทั้งกระแสความวิตกกังวลการรักษาสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค จากโรคระบาด
การค้าระหว่างประเทศ
การส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นของไทย ประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางพาราอื่นๆ โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 มีมูลค่าการส่งออก 1,146.61 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 11.80 และ 12.61 ตามลำดับ สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้น 2,446.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.86 ซึ่งแม้ว่าปริมาณการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น แต่ราคายางปรับตัวลดลงมาก จึงทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงตามไปด้วย โดยตลาดส่งออกยางพาราที่สำคัญ คือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา
สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง ประกอบด้วย ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง/ถุงมือตรวจ ยางรัดของ หลอดและท่อ สายพานลำเลียงและส่งกำลัง ผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ในทางเภสัชกรรม ยางวัลคาไนซ์ และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 มีมูลค่าการส่งออกรวม 1,871.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.91 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.00 สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง 3,606.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.24 โดยในส่วนของยางยานพาหนะเริ่มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากความต้องการของตลาดหลักที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้น ในส่วนของการส่งออกถุงมือยาง/ถุงมือตรวจปรับตัวลดลจากปีก่อน ถึงร้อยละ 10.58 เนื่องจากความต้องการของตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ชะลอตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการถูกตัด GSP จากสหภาพยุโรป ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญไป
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ยางคอมพาวด์ มีมูลค่าการส่งออกปรับตัวลดลง เนื่องจากจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกยางคอมพาวด์ของไทย ได้ออกประกาศปรับปรุงมาตรฐานการผลิตยางคอมพาวด์ โดยให้ใช้ยางธรรมชาติในการผลิตได้ไม่เกินร้อยละ 88 และส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 12 ให้เป็นส่วนผสมของเขม่าดำ (Carbon Black) และสารเคมีอื่นๆ แทนสัดส่วนการผลิตเดิมที่มียางธรรมชาติไม่เกินร้อยละ 95.00 - 99.50 จึงส่งผลให้บริษัทผลิตยางล้อในจีนเริ่มกังวลต่อการนำเข้ายางคอมพาวด์จากไทย จึงชะลอการสั่งซื้อยางคอมพาวด์ออกไป
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 การนำเข้ายางและเศษยาง มีมูลค่า 234.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.57 และ12.34 ตามลำดับ และในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการนำเข้า 472.99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.20
สำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางที่สำคัญ ประกอบด้วย ท่อหรือข้อต่อและสายพานลำเลียง ยางรถยนต์ กระเบื้องปูพื้น/ปิดผนัง ยางวัลแคไนซ์ และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ มีมูลค่า 288.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.20 และ 2.79 ตามลำดับ โดยการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้ายางรถยนต์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกมีมูลค่าการนำเข้า 554.99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อยคิดเป็นร้อยละ 0.71
ราคายางไตรมาสที่ 2 ปี 2558 ยังทรงตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งมีปัจจัยบวกคือยางพาราออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ปลูกยางของไทย อย่างไรก็ตาม อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อราคายาง รวมทั้งปริมาณการผลิตที่มีมากกว่าความต้องการใช้ โดยผลผลิตจากพื้นที่ปลูกใหม่เริ่มทะยอยออกสู่ตลาด
ในปีงบประมาณ 2558 กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพาราภายใต้เครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานวิจัย และโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าว คือสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้วัตถุดิบยางเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และได้มาตรฐานสากลซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก ส่งผลให้อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพาราของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สรุปและแนวโน้ม
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางล้อในภาพรวมยังขยายตัวได้ ถึงแม้ว่าเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ในส่วนของตลาดถุงมือยางและถุงมือตรวจยังขยายตัวได้ดี เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลด้านสุขภาพอนามัยจากโรคระบาด
การส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าปริมาณการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น แต่ราคายางปรับตัวลดลงมาก จึงทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงตาม ไปด้วย ในส่วนของการส่งออกยางยานพาหนะเริ่มปรับตัวดีขึ้น ตามความต้องการของตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐอเมริกา สำหรับมูลค่าการส่งออกถุงมือยาง/ถุงมือตรวจ ปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการใช้ของตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ชะลอตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการถูกตัด GSP จากสหภาพยุโรป ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญไป และในส่วนของผลิตภัณฑ์ยางคอมพาวด์ ซึ่งจีนได้ออกประกาศปรับปรุงมาตรฐานการผลิตยางคอมพาวด์ โดยให้ใช้ยางธรรมชาติในการผลิตได้ไม่เกินร้อยละ 88 และส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 12 ให้เป็นส่วนผสมของเขม่าดำ (Carbon Black) และสารเคมีอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทผลิตยางล้อในจีนเริ่มกังวลต่อการนำเข้ายางคอมพาวด์จากไทย จึงชะลอการสั่งซื้อยางคอมพาวด์ออกไป
สถานการณ์ของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมยางยานพาหนะในประเทศคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าที่วางเอาไว้ เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ซบเซา และการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ สำหรับการส่งออกในส่วนของผลิตภัณฑ์ยางยานพาหนะ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสหรัฐอเมริกาต่ออายุการให้ GSP แก่สินค้าไทยออกไปอีก 4 ปี 5 เดือน โดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 ซึ่งจะมีผลหลังจากลงนามแล้ว 30 วัน และผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิการคืนภาษีย้อนหลัง 2 ปีจากการต่ออายุ GSP ครั้งนี้
สำหรับถุงมือยาง/ถุงมือตรวจ คาดว่าจะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก รวมทั้งการถูกตัดสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป
สำหรับแนวโน้มด้านราคายางพาราในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 มีปัจจัยบวกจากผลผลิตยางออกสู่ตลาดน้อย การอ่อนค่าของเงินเยนและเงินบาท ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผล กระทบต่อราคายางในระยะนี้ เนื่องจากปริมาณการผลิตที่มีมากกว่าความต้องการใช้ โดยผลผลิตจากพื้นที่ปลูกใหม่จะเริ่มทะยอยออกสู่ตลาด
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--